วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ศึกรบทะลุแดนสวรรค์ บทที่ ๖ นักเล่นแร่แปรธาตุ 


ภายในกล่องสีเขียวหยก บรรจุไว้ด้วยเม็ดยาสีเขียวขนาดราวนัยตามังกรเม็ดหนึ่ง กลิ่นหอมที่ฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งเรือนรับรองแขก มาจากมันนั่นเอง

ในดินแดนแห่งเต๋าชี่นี้  ผู้ที่จะเลื่อนระดับเป็นเต๋าเจ่อได้ คนผู้นั้นจะต้องสามารถรวบรวมพลังชี่ในกายและควบคุมจนสามารถเกิดเป็นกระแสพลังดุจดั่งพายุได้  แต่กระบวนการในการควบคุมพลังชี่จนกลายเป็นพายุชี่นั้น มีโอกาสที่จะล้มเหลวสูงมาก  หากล้มเหลวลงครั้งหนึ่ง ระดับพลังชี่ในร่างกายก็จะลดลงขั้นหนึ่ง เช่น ผู้ที่มีระดับตวนชี่ขั้น ๙ จะลดลงเหลือขั้น ๘  คนบางคนโชคร้าย ต้องพยายามกว่า ๑๐ ครั้ง  จึงจะประสบผลสำเร็จในการเลื่อนระดับ ด้วยเหตุนี้ เท่ากับว่าคนผู้นั้น ต้องเสียสูญเสียช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตไปกับการฝึกปรือพลังชี่  นี่จึงเป็นการทำลายอนาคตของตนยิ่งนัก

ผงรวบรวมพลังชี่ เป็นยาพิเศษที่ช่วยให้ผู้ที่ฝึกพลังปราณในขั้น ๙ ระดับตวนชี่ สามารถผนึกรวบรวมลมปราณและควบคุมพลังชี่ได้สำเร็จ
กล่าวถึงผลข้างเคียง หากผู้ใช้อยู่ในระดับเต๋าเจ่อ มันจะทำให้เกิดอาการตาแดงอยู่บ้าง แต่ถ้าผู้ใช้อยู่ในระดับต่ำกว่า ผลข้างเคียงจะแย่ลงมาก

ผงรวบรวมพลังชี่นี้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่มันถูกผลิตขึ้นโดยนักแปรธาตุ
ในอาณาจักรแห่งเต๋าชี่ อาชีพที่ได้รับการยกย่องยิ่งไปกว่าเต๋าเจ่อ ก็คือนักแปรธาตุ
ดังปรากฏความหมายตามคำศัพท์ที่ใช้เรียก นักแปรธาตุคือผู้ที่สามารถสร้างยาที่มีคุณสมบัติพิเศษมากมาย เช่นยาที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรง  นักแปรธาตุที่ยังไม่มีสังกัดทุกคนเป็นที่ต้องการตัวอย่างยิ่งจากขุมอำนาจทุกสาย

สาเหตุที่นักแปรธาตุถูกนับเป็นบุคคลชั้นสูง นั่นเป็นเพราะว่าจำนวนนักแปรธาตุนั้นมีน้อยมาก และคุณสมบัติที่จะเป็นนักแปรธาตุได้นั้นก็จำกัดยิ่ง

ข้อแรกสุด คนผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ควบคุมไฟ  ข้อถัดมา ภายในคุณสมบัติแห่งไฟนั้น จะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติแห่งธาตุไม้ส่วนหนึ่งเพื่อที่จะสามารถเร่งปฏิกิริยาในการกลั่นให้ได้ตัวยาบริสุทธิ์ออกมา

ในดินแดนแห่งเต๋าชี่นี้ คนผู้หนึ่งถูกกำหนดคุณลักษณะแห่งธาตุในจิตวิญญาณมาแต่เกิด  พลังแห่งจิตวิญญาณเมื่อถือกำเนิดขึ้น ย่อมมีเพียงหนึ่ง  คุณสมบัติแห่งจิตวิญญาณนั้นย่อมปฏิเสธคุณสมบัติชนิดอื่นโดยสิ้นเชิง  ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่บุคคลผู้หนึ่งจะครอบครองจิตวิญญาณถึง ๒ แบบ
 


แต่ .. แน่นอนว่า... ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้  ในประชากร ๑ ล้านคน ย่อมจะมีใครบางคนที่มีจิตวิญญาณที่วิวัฒน์  ในจำนวนผู้ที่มีจิตวิญญาณวิวัฒน์นี้ มีบางคนที่มีศักยภาพเพียงพอจะกลายเป็นนักแปรธาตุ

อย่างไรก็ตาม เพียงแค่จิตวิญญาณที่มีคุณสมบัติเป็นทั้งธาตุไฟและธาตุไม้ก็ยังไม่เพียงพอจะก้าวไปเป็นนักแปรธาตุผู้หนึ่งได้ ยังจะต้องมีพลังหยั่งรู้หรือญาณจิตอันแข็งแกร่งอีกด้วย

การกลั่นให้ได้ยาเม็ดหนึ่ง ต้องประกอบด้วยส่วนสำคัญ ๓ ส่วนหลัก หนึ่งคือวัตถุดิบ เปลวไฟแห่งชี่ และญาณหยั่งรู้แห่งจิต

วัตถุดิบ ... หาได้จากแหล่งวัตถุดิบตามธรรมชาติ แต่ทั้งหมดทั้งมวล แม้แต่นักแปรธาตุที่เก่งที่สุดผู้หนึ่ง ก็ไม่อาจผลิตยาขั้นเซียนได้จากวัตถุดิบชั้นเลวอย่างแน่นอน  ดังนั้นแล้ว วัตถุดิบชั้นดี จึงเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการปรุงยาชั้นเลิศ

เปลวไฟแห่งชี่ ... หรือเชื้อเพลิงที่จำเป็นต่อการกลั่นยา ย่อมมิอาจใช้เปลวไฟธรรมดาสามัญได้ มันต้องเป็นเปลวไฟที่เกิดจากการกำหนดปราณของเต๋าชี่ผู้มีคุณสมบัติแห่งธาตุไฟ   แน่นอนว่ายังมีอีกวิธีหนึ่ง ในธรรมชาติของโลกใบนี้ ยังมีลมปราณแห่งไฟคุณภาพสูงหลากหลายแบบเกิดขึ้นอยู่ นักแปรธาตุเก่งๆ บางคนนิยมรวบรวมปราณไฟเหล่านี้มาใช้กลั่นยาแทนพลังเต๋าชี่ของตนเอง  ปราณไฟเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในการปรุงยา มันยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยาด้วย

ดังที่กล่าวมาข้างต้น การปรุงยาชนิดหนึ่งๆ ให้บริสุทธิ์ เป็นงานที่ยากลำบากยิ่งนัก  ยิ่งใช้เวลาปรุงยามากเท่าใด ก็ยิ่งต้องสิ้นเปลืองพลังเต๋าชี่มากขึ้นเท่านั้น  ด้วยความเป็นเหตุเป็นผลในตัวของมันนั่นเอง นักแปรธาตุเก่งๆ ทุกคน จึงมักเป็นเต๋าเจ่อผู้ชำนาญในการใช้ไฟ

ส่วนประกอบข้อสุดท้าย จิตหยั่งรู้

ขณะกำลังกลั่นยา จำเป็นต้องควบคุมความเข้มข้นของเปลวไฟให้พอดีและแม่นยำอย่างยิ่ง  หากเปลวไฟร้อนเกินไป ตัวยาในเตาหลอมย่อมถูกเผาจนไหม้เป็นเถ้าถ่านอย่างไม่ต้องสงสัย ต้องเสียทั้งเวลาและความพยายามโดยเปล่าประโยชน์  ดังนั้น ความสามารถในการควบคุมความอ่อนแก่ของเปลวไฟ จึงเป็นสิ่งแรกที่นักแปรธาตุต้องฝึก  หากแต่การจะควบคุมธาตุไฟได้ ผู้นั้นต้องมีจิตหยั่งรู้อย่างน่าอัศจรรย์ หากปราศจากจิตหยั่งรู้แล้วไซร้ แม้จะมีส่วนประกอบที่เหลือดีเลิศเพียงใด ก็เปล่าประโยชน์ที่จะกลั่นยา

ด้วยเงื่อนไขจำเพาะเจาะจงถึงเพียงนี้ ผู้ที่มีความสามารถและคุณสมบัติเพียงพอที่จะกลายเป็นนักแปรธาตุได้จึงน้อยยิ่งนัก หาตัวจับได้ยากยิ่งนัก  และด้วยจำนวนผู้ที่สามารถผลิตยาได้เพียงน้อยนิดนี่เอง ยาวิเศษทั้งหลายจึงหาได้ยากเช่นกัน  ของหายากย่อมมีมูลค่าสูง ยาแต่ละเม็ดจัดเป็นของหายาก นักแปรธาตุทุกคนจึงล้วนแต่ได้รับความเคารพอย่างยิ่ง มีสิทธิพิเศษอย่างยิ่ง

ภายในเรือนรับรองแขก ความตกตะลึงของผู้เฒ่าทั้ง ๓ ส่งผลให้ผู้เยาว์ทุกคนล้วนจ้องมองมายังกล่องหยกบนฝ่ามือของเกอเอ่อ
เซียวเม่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ บิดาของนาง เลียริมฝีปากแดงระเรื่อด้วยปลายลิ้นอ่อนนุ่ม จ้องมองไปที่กล่องใบนั้นแทบไม่กระพริบตา
“เฮะๆ ยานี้กลั่นโดยผู้เฒ่าผู้ทรงเกียรติของเรา กู่เฮ่อ  ข้าคิดว่าทุกท่านคงเคยได้ยินชื่อเสียงของเขามาบ้าง ใช่หรือไม่?”  เมื่อเห็นท่าทีเคอะเขินจากผู้เฒ่าทั้ง ๓  เกอเอ่อก็เริ่มวางท่าใหญ่โต
“ยาเม็ดนี้กลั่นโดยราชาแห่งยา กู่เฮ่อ?”  ได้ยินคำพูดของเกอเอ่อ  ผู้เฒ่าทั้ง ๓ ก็ยิ่งมีสีหน้าเจื่อนลง

ราชาแห่งยากู่เฮ่อเป็นนักแปรธาตุผู้ทรงอิทธิพลในจักรวรรดิเจียหม่า วิธีปรุงยาของเขาทั้งซับซ้อนทั้งลึกลับไม่อาจคาดได้ กลุ่มผู้ทรงอิทธิพลนับไม่ถ้วนต่างพยายามประจบประแจงเขา
กู่เฮ่อไม่เพียงแต่เป็นอัจฉริยะผู้หนึ่งในการแปรธาตุ  พลังยุทธของเขายังสูงส่งถึงระดับเต๋าหวัง  เขาจึงเป็นหนึ่ง ๑๐ อันดับสูงสุดของเต๋าเจ่อในจักรวรรดิเจียหม่า
เม็ดยารวบรวมพลังชี่ที่กลั่นด้วยมือของเขาเม็ดนี้คงจะมีมูลค่าสูงกว่ายารวบรวมพลังชี่ทั่วไปไม่น้อยเลย

ผู้เฒ่าทั้ง ๓ ปิติกับยาเม็ดรวบรวมพลังชี่ในกล่องใบนี้นัก หากตระกูลเซียวได้ครอบครองมัน  เช่นนั้นแล้ว ตระกูลเซียวคงจะสามารถฝึกผู้เยาว์รุ่นใหม่ได้ถึงระดับเต๋าเจ่ออีกซักคน

ขณะที่ทั้ง ๓ ท่านต่างกำลังครุ่นคิดว่าจะเอายาเม็ดนี้มาให้แก่บุตรหลานของตนอย่างไร  เสียงอ่อนเยาว์กังวานก้องด้วยความกราดเกรี้ยวเสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบในห้องโถง
“ท่านเกอเอ่อ  จะเป็นการดีมากหากท่านจะเก็บยาเม็ดนี้ไปเสีย  คำขอร้องของท่าน ... เราคงไม่อาจยอมรับได้!”
ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ตกอยู่ในความเงียบอีกคราหนึ่ง ทุกสายตาพุ่งตรงมายังใบหน้าประณีตหล่อเหลาของเซียวเอี๋ยนที่มุมห้อง
“เซียวเอี๋ยน เจ้าไม่มีสิทธิพูดอะไรทั้งสิ้น จงเงียบซะ!”  ผู้เฒ่าท่านหนึ่งหน้าดำคร่ำเครียดขณะที่ตะโกนใส่เซียวเอี๋ยน
“เซียวเอี๋ยน  เงียบก่อน ข้ารู้ว่าเจ้าไม่คงไม่มีความสุขกับเหตุการณ์นี้ แต่เราจะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป!”  ผู้เฒ่าอีกท่านหนึ่งกล่าวแก่เซียวเอี๋ยน
“ผู้เฒ่าทั้ง ๓  หากเป็นบุตรชายของท่าน หรือหลานชายของท่าน ที่ถูกปฏิเสธการแต่งงานในวันนี้  พวกท่านจะยังคงกล่าวเช่นนี้หรือไม่?”  เซียวเอี๋ยนค่อยๆ ลุกยืนขึ้น  มุมปากเหยียดยิ้มเยาะ  ในเมื่อท่าทีของผู้เฒ่าทั้ง ๓ ที่ปฏิบัติต่อเขาล้วนเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ เหตุใดเขายังจะต้องสุภาพอีก
“เจ้า...”  เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวเอี๋ยน  ทั้ง ๓ คนไม่รู้จะโต้ตอบได้อย่างไร ผู้เฒ่าคนหนึ่งยังเริ่มเดินพลังเต๋าชี่ด้วยความโมโห
“ผู้เฒ่าทั้ง ๓ ท่านพี่เซียวเหยาไม่ผิด  เขาเป็นผู้เสียหายในเหตุการณ์ครั้งนี้  พวกท่านไม่ควรตัดสินใจแทนเขา”  เสียงกังวานใสของเด็กสาวนางหนึ่งดังขึ้น 
ผู้เฒ่าทั้ง ๓ ต่างลดท่าวางเขื่องลงเมื่อได้ยินเสียงของนาง ต่างชำเลืองมองกันและกันด้วยแววตากังวล พวกเขาพยักเพยิดกันและนั่งลงดังเดิม
เมื่อเห็นผู้เฒ่าทั้ง ๓ ยอมถอยก้าวหนึ่ง  เซียวเอี๋ยนหันหน้ากลับมา จ้องลึกเข้าไปในดวงหน้ายิ้มแย้มของเซวียนเอ๋อ  ที่แท้  เจ้าเป็นใครกันหนอ? จึงสามารถทำให้เหล่าผู้เฒ่าเกรงกลัว....
ภายหลังจากที่ระงับความสับสนในใจลง เซียวเอี๋ยนสาวเท้ารวดเร็วตรงไปยังเซียวจั่น  และโค้งคำนับผู้เป็นบิดาของเขา   หลังจากนั้น เขาหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับน่าหลันอวิ๋นหลัน ผ่อนลมหายใจท่อนหนึ่ง เขาเริ่มกล่าว 
“แม่นางน่าหลัน ข้าของถามคำถามหนึ่ง  การที่ท่านมาที่นี่ในวันนี้ เพื่อขอถอนการแต่งงาน  ท่านปู่น่าหลันอนุญาตแล้วหรือไม่?”

ตั้งแต่เซียวเอี๋ยนเดินออกมาจากมุมห้อง  น่าหลันอวิ๋นหลันก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจกับการปรากฏตัวของเขายิ่งนักแล้ว  มาถึงบัดนี้ ได้ยินคำถามของเขา คิ้วของนางขมวดมุ่นยิ่งนัก  ชายผู้นี้  ในใจข้าตอนแรกยังคิดว่าเขาคงเป็นคนดี แต่เขาช่างหน้าไม่อายจริงๆ  เขารู้หรือไม่ ว่าฐานะของเราสองคน แตกต่างกันยิ่งนัก?

ขณะที่วิพากษ์วิจารณ์เซียวเอี๋ยนในใจ น่าหลันอวิ๋นหลันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการยกเลิกการแต่งงานในครั้งนี้ จะทำให้เซียวเอี๋ยนและบิดาของเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากและโกรธเกรี้ยวเพียงไหน

น่าหลันอวิ๋นหลันลุกขึ้นยืน จ้องมองไปยังบุคคลที่ควรจะเป็นสามีในอนาคตของนาง และกล่าวขึ้น
“ท่านปู่ไม่ได้อนุญาต  แต่ว่า! นี่เป็นปัญหาส่วนตัวของข้าและไม่เกี่ยวข้องกับเขา”
“ในเมื่อท่านปู่ไม่ได้อนุญาต ถ้าเช่นนั้นข้าหวังว่าท่านจะให้อภัยที่บิดาข้าไม่อาจจะยอมรับคำขอของท่านได้  การแต่งงานของเราเป็นไปตามความประสงค์ของท่านปู่ทั้งสอง  ในเมื่อพวกท่านทั้งสองไม่ได้เป็นผู้ยกเลิกการแต่งงาน  ดังนั้นการแต่งงานจะยังคงมีอยู่  ไม่เช่นนั้น ผู้ที่กำลังพยายามจะยกเลิกการแต่งงาน ก็คือผู้ที่ขาดความเคารพในบรรพชนของตน  ข้าคิดว่า สำหรับตระกูลของเรา คงไม่มีคนไร้เกียรติเยี่ยงนี้อยู่เป็นแน่” เซียวเอี๋ยนเอียงคอมองจ้องไปทางผู้เฒ่าทั้ง ๓

เมื่ออ้างถึงความไร้เกียรติ เซียวเอี๋ยนบังคับให้ผู้เฒ่าทั้ง ๓ ต้องปิดปากเงียบโดยปริยาย   ภายใต้กฎเกณฑ์อันเข้มงวดในตระกูล การกระทำที่ไร้เกียรติเช่นการไม่เคารพต่อบรรพชนก็เพียงพอแล้วต่อการทำให้ผู้เฒ่าคนหนึ่งต้องสูญเสียฐานะในตระกูล

“ท่าน...” หลังจากที่ถูกเซียวเอี๋ยนปฏิเสธ  น่าหลันอวิ๋นหลันอับจนถ้อยคำที่จะตอบโต้ข้ออ้างของเซียวเอี๋ยนได้  ใบหน้าของนางเริ่มซีดเผือด  นางเริ่มกระแทกเท้าหนักหน่วง  ธาตุแท้แห่งความเป็นผู้สูงศักดิ์เริ่มเผยออกมา นางจ้องไปที่เด็กหนุ่มด้วยความรังเกียจ กล่าวด้วยความรำคาญว่า
“ท่านจะยอมยกเลิกการแต่งงานด้วยเงื่อนไขอะไร?  หรือว่าค่าชดเชยน้อยไป? ก็ได้ ข้าจะขอร้องท่านอาจารย์ให้จัดส่งยารวบรวมพลังเต๋ามาให้เจ้าเพิ่มอีก ๓ เม็ดเป็นยังไง  และถ้าเจ้าต้องการ ข้าจะอนุญาตให้เจ้าเข้าเป็นสมาชิกพรรคอวิ๋นหลัน เจ้าจะได้เรียนรู้วิธีฝึกเต๋าชี่ระดับสูง  แค่นี้เพียงพอหรือไม่?”

เมื่อได้ยินเงื่อนไขเร้าใจจากน่าหลันอวิ๋นหลัน  ลมหายใจของผู้เฒ่าทั้งสามเริ่มหนักขึ้น  ภายในห้องโถง เหล่าผู้เยาว์ต่างกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่  เข้าเป็นสมาชิกพรรคอวิ๋นหลันหรือ?  โอพระเจ้า นั่นเป็นความฝันของผู้คนนับไม่ถ้วน...

หลังจากแจงเงื่อนไขทั้งหมดออกมา คางของน่าหลันอวิ๋นหลันเชิดสูงราวเจ้าหญิงที่กำลังพูดอยู่กับบ่าวรับใช้ นางรอคอยคำตอบจากเซียวเอี๋ยนอย่างรู้ดีว่าเงื่อนไขเหล่านี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เด็กหนุ่มทั่วไปทุกคนสนใจแทบเป็นบ้า

ศึกรบทะลุแดนสวรรค์ บทที่ ๕ ผงรวบรวมพลังชี่

“อะแฮ่ม”  ผู้เฒ่าในชุดเสื้อคลุมสีนวลส่งเสียงกระแอมและลุกยืนขึ้น สองมือกุมไว้เบื้องหน้าอย่างสำรวม เขาเริ่มพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านประมุขเซียวจั่น  สาเหตุที่พวกเรามาที่นี่ในวันนี้ ก็เพราะว่าเรามีเรื่องบางเรื่องต้องการความช่วยเหลือจากท่าน”
“แน่นอน เกอเอ่อ หากท่านมีเรื่องอะไร โปรดบอกข้า  หากข้าสามารถช่วยท่านได้ ข้าจะต้องช่วยอย่างเต็มที่แน่นอน”
เซียวจั่นมิได้ปฏิเสธคำขอร้อง  แต่ก็ยังไม่ทราบความต้องการของแขกผู้มาเยือนอย่างแน่ชัด จึงยังไม่ตกปากรับคำใดๆ เช่นกัน
“เฮะๆ ท่านประมุขเซียว  ท่านรู้จักนางหรือไม่?”  เกอเอ่อยิ้มบางๆ และผายมือไปยังดรุณีน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ
“อืม ... ต้องขออภัย แม่นางน้อยท่านนี้คือ...” เซียวจั่นจ้องมองเด็กสาวและส่ายศีรษะช้าๆ

เมื่อครั้งที่น่าหลันอวิ๋นหลันเข้าเป็นศิษย์ของพรรคอวิ๋นหลัน นางเพิ่งอายุได้ ๘ ขวบ  ผ่านการฝึกฝนวิทยายุทธในพรรคอวิ๋นหลันมา ๕ ปี นางเปลี่ยนไปมากทีเดียว  แต่ก่อนนางเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ  แต่ขณะนี้นางกลายเป็นดรุณีแรกรุ่นแล้ว

“หือ .. แม่นางน้อยนี้คือน่าหลันอวิ๋นหลัน?”
“ท่านลุงเซียว  ข้าไม่ได้มาเยี่ยมท่านเป็นเวลานานมากแล้ว เป็นความผิดของข้าน้อย ที่ท่านจำข้าไม่ได้”  น่าหลันอวิ๋นหลันเอ่ยอย่างอ่อนหวาน
“ฮ่าๆ  อวิ๋นหลัน  ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ของอวิ๋นจวิ้น  ตอนนั้นข้านึกว่านั่นเป็นเพียงข่าวลือ  เดี๋ยวนี้ข้าจึงได้ประจักษ์ว่าข่าวนั้นเป็นความจริงแท้  เจ้าช่างมีพรสวรรค์นัก... “ เซียวจั่นเอ่ยชื่นชม
“ข้าเพียงแค่โชคดี... “ นางยิ้มบางๆ  เริ่มมีทีท่ากระอักกระอ่วนพิกล จึงยื่นมือไปใต้โต๊ะ กระตุกชายเสื้อคลุมของเกอเอ่อเบาๆ
“ฮ่าๆ ท่านประมุขเซียว สิ่งที่ข้าจะขอความช่วยเหลือ ก็เกี่ยวกับอวิ๋นหลันนี่แหละ  อีกอย่างหนึ่ง นี่ก็เป็นคำสั่งจากประมุขของเรา...”  เกอเอ่อยังคงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม แต่เมื่อเขากล่าวอ้างถึงชื่อประมุข จิตใต้สำนึกหน่วงให้รอยยิ้มบนใบหน้าลดเลือนลง แปรเปลี่ยนเป็นสภาพเคร่งเครียด

เช่นเดียวกับเกอเอ่อ  เซียวจั่นก็หยุดยิ้มแล้ว  ประมุขแห่งพรรคอวิ๋นหลันเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สุดในจักรวรรดิเจียหม่า  เซียวจั่น ผู้เป็นเพียงประมุขของตระกูลเล็กๆ  ไหนเลยจะกล้าทำให้นางขุ่นเคืองใจ  แต่ด้วยอิทธิพลของนาง ยังจะต้องการให้ตระกูลเซียวช่วยเหลืออันใดอีก?  เกอเอ่อบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับอวิ๋นหลัน หรือว่านั่นคือ..?

เซียวจั่นใจลอย จมอยู่ในภวังค์แห่งความคิดจนมุมปากของเขากระตุกเบาๆ  ฝ่ามือหยาบกระด้างเริ่มสั่นเทา   ต้องขอบคุณที่ฝ่ามือทั้งสองของเขาซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อยาว  เซียวจั่นระงับความคิดไว้และเริ่มกล่าวด้วยเสียงสั่นพร่า
“ท่านเกอเอ่อ  ช่วยบอกข้าหน่อย ว่าความต้องการของพรรคอวิ๋นหลันคือ?...”
“เอ่อ ...” เกอเอ่อลังเล แต่เมื่อนึกถึงความเอ็นดูที่ท่านประมุขพรรคมีให้แก่อวิ๋นหลัน ดังนั้น เขาจึงกัดฟันเอื้อนเอ่ย
“ท่านประมุขเซียว ท่านก็ทราบดี ว่าพรรคของเรามีกฏเกณฑ์เข้มงวดเพียงใด  ท่านประมุขของเราคาดหวังในตัวอวิ๋นหลันสูงมาก ความจริงแล้ว  ท่านประมุขหวังจะให้อวิ๋นหลันสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าพรรค  แต่ทว่า มีกฎพิเศษอยู่ข้อหนึ่ง  ผู้ที่จะขึ้นมาเป็นว่าที่ประมุขนั้น จะไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามได้ ก่อนที่เขาจะได้รับตำแหน่งประมุขอย่างเป็นทางการ...”
หลังจากพักหายใจคราหนึ่ง เกอเอ่อกล่าวต่อไปว่า “เมื่อท่านประมุขของเราถามอวิ๋นหลันเกี่ยวกับเรื่องนี้  นางจึงเพิ่งนึกได้ว่าตระกูลอวิ๋นหลันกับตระกูลเซียวนั้น มีสัญญาเกี่ยวดองกันอยู่  ดังนั้น  ท่านประมุขจึงอยากจะขอร้องท่านประมุขเซียวให้ ... ให้ยกเลิกการหมั้นหมาย”

เคร้ง!  แก้วสีเขียวหยกในมือเซียวจั่นแตกกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตา

ทั่วทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบ ผู้เฒ่าทั้ง ๓ ต่างตกอยู่ในอาการตะลึงด้วยคำพูดของเกอเอ่อ  แต่ไม่นานให้หลัง  ผู้เฒ่าทั้ง ๓ ต่างก็ชำเลืองมองไปยังเซียวจั่นด้วยสายตาเริงร่าและเยาะหยัน

“หึหึ เจ้าจะรับผิดชอบกับเรื่องนี้อย่างไร?”  ผู้เฒ่าทั้ง ๓ คิดอย่างมาดร้าย

เด็กรุ่นๆ หลายคนไม่เคยรู้เรื่องราวเกี่ยวแก่การหมั้นหมายระหว่างเซียวเอี๋ยนกับน่าหลันอวิ๋นหลันมาก่อน  แต่หลังจากที่พวกเขาหันไปถามพ่อแม่ สีหน้าทุกคนต่างก็ฉายแววตื่นเต้น พวกเขาชำเลืองไปทางเซียวเอี๋ยน สายตาก็เต็มไปด้วยแววเยาะหยันและรังเกียจ....

เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งเครียดดำคล้ำของเซียวจั่น  น่าหลันอวิ๋นหลันก้มหน้าหลบต่ำ นิ้วมือบีบแน่นเข้าหากัน

“ท่านประมุขเซียว  ข้ารู้ว่าคำขอร้องเช่นนี้เป็นเรื่องใหญ่นัก  แต่เนื่องจากเป็นประสงค์ของท่านประมุข  ได้โปรด ยกเลิกการหมั่นหมาย...”  เกอเอ่อแทบไม่หายใจ กระซิบแผ่วเบากับเซียวจั่น

ฝ่ามือทั้งสองของเซียวจั่นกำแน่น  พลังเต๋าชี่สีเขียวจางค่อยๆ เพิ่มขึ้นครอบคลุมร่างของเขา และในที่สุด มันก่อเป็นมายาภาพหัวสิงโต ปรากฏทาบทับใบหน้าเซียวจั่น

เคล็ดวิชาตระกูลเซียว : สิงโตคำรามกราดเกรี้ยว  วิชาระดับซวนขั้นกลาง!
 
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเซียวจั่น เกอเอ่อใบหน้าเคร่งขรึม เขาเคลื่อนตัวมาบังอวิ๋นหลันไว้เบื้องหลังและภายใต้วิชากรงเล็บอินทรีย์ พลังเต๋าชี่เริ่มก่อรูปขึ้นบนฝ่ามือทั้งสอง  แม้พลังเต๋าชี่ถูกปลดปล่อยออกมาในปริมาณเพียงน้อยนิด ก็ปรากฏมายาภาพแห่งดาบอันชัดเจน

วิชาตระกูลอวิ๋นหลัน : ดาบไม้ไผ่เขียว ระดับซวนขั้นต่ำ!

ด้วยพลังเต๋าชี่ที่ถูกปลดปล่อยออกมา เด็กๆ ออนแอที่อยู่ในห้องโถงต่างก็ใบหน้าซีดเซียว รู้สึกว่าหน้าอกถูกบีบแน่นขึ้นๆ

ขณะที่เซียวจั่นเริ่มหายใจแรงขึ้น  ผู้เฒ่าทั้ง ๓ ก็ตะโกนออกมา เสียงของพวกเขาดังราวกับฟ้าผ่า สั่นสะเทือนไปทั่วห้อง
“เซียวจั่น หยุดมือ อย่าลืมว่าเจ้าเป็นประมุขของตระกูลเซียว!”
เซียวจั่นยืนนิ่งแข็งอยู่ครู่หนึ่ง พลังเต๋าชี่บนร่างค่อยๆ จางคลายลง
เซียวจั่นหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมและมองไปยังอวิ๋นหลันที่นั่งก้มหน้าอยู่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ   ในที่สุด เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง  “น่าหลัน เจ้าช่างกล้าหาญนัก ทั้งๆ ที่เป็นลูกผู้หญิง ข้าอิจฉาน่าหลันซูเสียจริง”
น่าหลันอวิ๋นหลันเอ่ยด้วยท่าทีกระวนกระวาย “ท่านลุงเซียว...”
“ไม่ นับจากนี้ไป เรียกข้าว่าประมุขเซียว ข้ามิบังอาจให้เจ้าเรียกข้าว่าลุง เจ้าเป็นถึงว่าที่ประมุขของพรรคอวิ๋นหลัน  ในอนาคต เจ้าคงต้องได้เป็นผู้นำคนหนึ่งในอาณาจักรแห่งเต๋าชี่ เซียวเอี๋ยนของข้า มีความสามารถแค่พื้นๆ เขาไม่คู่ควรกับเจ้า...”

เกอเอ่อแตะแหวนวงหนึ่งในมือและทันใดนั้น พลันปรากฏกล่องสีเขียวหยกขึ้นบนฝ่ามือของเขา...
เกอเอ่อเปิดมันออกอย่างระมัดระวัง กลิ่นหอมชนิดหนึ่งโชยออกไปทั่วทั้งห้องโถง  ทุกๆ คนที่ดมมันเข้าไป ต่างก็รู้สึกผ่อนคลายยิ่ง
ผู้เฒ่าทั้ง ๓ ต่างก็อยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก พวกเขาชะโงกศีรษะไปดูสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในกล่อง

“มันคือผงรวบรวมพลังชี่?”

ศึกรบทะลุแดนสวรรค์ บทที่ ๔ ตระกูลอวิ๋นหลัน 


ณ ห้องโถงใหญ่ของเรือนรับแขก  เซียวจั่นกับผู้เฒ่าทั้ง ๓ กำลังคุยอยู่กับแขกสูงวัยด้วยท่าทีตึงเครียด แขกผู้นั้นดูเหมือนจะกำลังชั่งใจอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทุกครั้งที่เขาทำท่าจะกล่าวอะไรบางอย่าง เขาก็กลับกลืนมันลงคอและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แต่ละครั้งที่เขามีปฏิกิริยาเช่นนี้  เด็กสาวท่าทางภูมิฐานที่อยู่ถัดจากเขาจะชำเลืองมองไปที่เขาน้อยๆ ด้วยแววตาเฉียบขาด
หลังจากที่นั่งฟังบทสนทนาไปได้ไม่นาน ศีรษะของเซียวเอี๋ยนก็ค่อยๆ เอียงลง
“พี่ชาย ท่านรู้จักพวกเขาหรือไม่?”  ขณะที่เซียวเอี๋ยนเกือบจะเผลอหลับไปด้วยความเบื่อหน่าย  เซวียนเอ๋อที่นั่งอยู่ข้างๆ  ปิดหนังสือโบราณของนางและถามเขา
“เจ้ารู้จักหรือ?”  เซียวเอี๋ยนมองเซวียนเอ๋อด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“ท่านเห็นสัญลักษณ์ดาบสีเงินเล่มหนึ่งกับก้อนเมฆบนขอบแขนเสื้อคลุมของพวกเขาหรือไม่?” เซวียนเอ๋อพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ
“โอ?” เซียวเอี๋ยนมองไปที่ขอบแขนเสื้อของแขกทั้งสาม  เขาได้เห็นสัญลักษณ์ที่ปักอยู่ เป็นรูปดาบเล่มหนึ่งส่องประกายอยู่ในกลุ่มเมฆจริงๆ
“พวกเขามาจากตระกูลอวิ๋นหลันหรือ?” เซียวเอี๋ยนถามด้วยความฉงนสนเท่ห์

แม้ว่าเซียวเอี๋ยนจะไม่เคยได้ออกไปเห็นโลกภายนอย แต่เขาเคยอ่านเรื่องราวของตระกูลอวิ๋นหลันจากหนังสือหลายเล่ม  ตระกูลเซียวอาศัยอยู่ในเมืองวูตัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเจียหม่า แม้ว่าวูตันจะเป็นเมืองใหญ่ใน ๑๐ ลำดับต้นของอาณาจักร แต่มันก็เล็กไปถนัดใจเมื่อเทียบกับขนาดของทั้งจักรวรรดิแม้จะมีภูเขาสัตว์เทพอยู่ตามแนวชายแดน

ตระกูลเซียวเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองวูตัน  นอกจากนี้ก็ยังมีอีก ๒ ตระกูลใหญ่ที่เป็นคู่แข่งกับตระกูลเซียว  แต่ทว่าตลอดช่วง ๒๔ ปีที่ผ่านมาของศึกระหว่างสายเลือดนี้ พวกมันไม่สามารถไล่ตามตระกูลเซียวได้เลย...

หากว่าตระกูลเซียวจะเป็นผู้มีอิทธิพลที่สุดในเมืองวูตัน  ตระกูลอวิ๋นหลันนั้นก็คือตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุดในจักรวรรดิเจียหม่า!  ความแตกต่างระหว่างตระกูลเซียวกับตระกูลอวิ๋นหลันนั้นมากมายนัก  จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่บิดาของเซียวเอี๋ยน – เซียวจั่น ผู้ซึ่งปกติจะมีบุคลิกเข้มงวดและห้าวหาญ จะมีท่าทีที่เต็มไปด้วยความสำรวมต่อหน้าแขกเหล่านี้

“พวกเขามาที่นี่ทำไมหรือ?” เซียวเอี๋ยนกระซิบ
นิ้วมือเรียวงามของเซวียนเอ๋อหยุดชะงัก “อาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับท่าน  ท่านพี่เซียวเอี๋ยน...”
“ข้าหรือ?  แต่ข้าไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับพวกเขา?”  ได้ยินเซวียนเอ๋อตอบ  เซียวเอี๋ยนชะงักงันก่อนจะส่ายศีรษะและกระซิบตอบ
“ท่านทราบหรือไม่ว่า เด็กสาวนางนั้นชื่ออะไร?”  เซวียนเอ๋อชำเลืองมองไปทางดรุณีน้อยนางนั้น
“ไม่เลย  เจ้ารู้จักหรือ?”  เซียวเอี๋ยนขมวดคิ้วในขณะที่พินิจพิเคราะห์ใบหน้าของดรุณีน้อยแปลกหน้าที่เซวียนเอ๋อชี้ให้ดู  เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่าเคยเห็นนางมาก่อน
“นางชื่อน่าหลันอวิ๋นหลัน!”  สีหน้าของเซวียนเอ๋อฉายแววประหลาดขึ้นวูบหนึ่ง
เซียวเอี๋ยนตัวแข็งทื่อ  “น่าหลันอวิ๋นหลัน?  นางคือหลานสาวของน่าหลันเจี่ย  ท่านผู้บังชาการหน่วยสิงห์แห่งจักรวรรดิเจียหม่าหรือ?  นางคือ ... นางคือคู่หมั้นของข้าที่ครอบครัวของเราหมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่ก่อนที่เราจะเกิดหรือ?”

“เฮะๆ ท่านปู่ของท่านกับน่าหลันเจี่ยเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน  ท่านกับน่าหลันอวิ๋นหลันเกิดในเวลาไล่เลี่ยกัน ผู้เฒ่าทั้งสองจึงต้องการให้พวกท่านได้แต่งงานกันในอนาคต  แต่โชคร้าย  ๓ ปีให้หลังจากที่ท่านเกิด ปู่ของท่านเสียชีวิตลงในระหว่างที่ต่อสู้กับศัตรู  และเมื่อเวลาผ่านไป  ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเซียวกับตระกูลน่าหลันก็เริ่มห่างเหินกันไป ...”
เซวียนเอ๋อนิ่งไปครู่หนึ่ง และจ้องมองเซียวเอี๋ยนที่กำลังฟังเรื่องราวต่างๆ จากเซวียนเอ๋อ  “น่าหลันเจี่ย ไม่เพียงเป็นบุคคลที่หยิ่งทระนง เขายังเป็นคนที่รักษาคำพูดยิ่งนัก  เขาเป็นผู้กำหนดการแต่งงานของพวกท่าน ดังนั้น แม้ว่าชื่อเสียงของท่านจะไม่ค่อยดีนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาก็ไม่เคยพูดถึงการยกเลิกการแต่งงาน..."
“ผู้เฒ่าคนนี้คงหัวแข็งไม่เบา...” เซียวเอี๋ยนยิ้ม
“น่าหลันเจี่ยได้สั่งการเรื่องทุกอย่างครอบครัวไว้แล้ว ดังนั้นแม้เขาจะรักหลานสาวคนนี้มาก ก็ไม่มีใครกล้าขัดขืนคำสั่งนี้...”
ดวงตาคู่งามของเซวียนเอ๋อชำเลืองมองเซียวเอี๋ยนก่อนจะกล่าวต่อไป 
“แต่เมื่อ ๕ ปีก่อน น่าหลันอวิ๋นหลันได้กลายเป็นศิษย์ของผู้นำตระกูลอวิ๋นหลัน พรรคอวิ๋นหลัน ในช่วง ๕ ปีมานี้ น่าหลันอวิ๋นหลันได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพอันน่าทึ่งในตัวของนาง  เมื่อบุคคลหนึ่งเริ่มกุมอำนาจที่จะสามารถกำหนดชะตาชีวิตของตนได้ไว้ในมือ  พวกเขาย่อมพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกำจัดสิ่งไม่พึงปรารถนาออกไป  และโชคร้าย นางเกลียดข้อสัญญาที่ต้องแต่งงานกับท่านพี่เซียวเอี๋ยน!”

“เจ้ากำลังจะบอกว่า... นางมาถึงที่นี่เพื่อที่จะ ยกเลิก การแต่งงานหรือ?”

เซียวเอี๋ยนใบหน้าเคร่งขรึมลง ในเวลานี้ เขากำลังโกรธจัด ไม่ใช่เพราะว่าน่าหลันอวิ๋นหลันไม่ต้องการเขาเป็นสามี แต่เป็นเพราะว่านางกำลังพยายามจะยกเลิกการแต่งงานต่อหน้าคนในตระกูลทุกคน  หากเป็นเช่นนั้น บิดาของเขาจะต้องเสียเกียรติและความนับถือจากคนในตระกูลเป็นแน่แท้!

เซียวเอี๋ยนค่อยหายใจเข้าช้าๆ อากาศเย็นๆ ช่วยบรรเทาความเดือดดาลในห้วงคำนึง  ภายใต้แขนเสื้อตัวยาว เซียวเอี๋ยนกำหมัดแน่น  ครุ่นคิดถึงว่า หากข้าเป็นเต๋าซือ จะมีใครกล้ามาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของข้าเช่นนี้หรือไม่?

เป็นความจริงแท้ๆ เทียว หากเซียวเอี๋ยนเป็นเต๋าซือคนหนึ่ง  แม้น่าหลันอวิ๋นหลันจะมีพรรคอวิ๋นหลันหนุนอยู่เบื้องหลัง นางก็ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ได้โดยเด็ดขาด  เด็กหนุ่มเต๋าซืออายุ ๑๕ ปี  มีคนไม่กี่คนที่สามารถจะประสบความสำเร็จถึงระดับเต๋าซือได้ในประวัติศาสตร์ของดินแดนแห่งเต๋าชี่  และยิ่งมีเพียงไม่กี่คน ที่จะประสบความสำเร็จถึงระดับนั้นได้ขณะอายุยังน้อย และปัจจุบันคนเหล่านี้ ก็ได้เป็นผู้ทรงอำนาจระดับสูงในโลกแห่งเต๋าชี่

มือบอบบางข้างหนึ่ง เอื้อมข้ามชายแขนเสื้อของเซียวเอี๋ยนมากุมมือเขาไว้  เซวียนเอ๋อกล่าวอย่างนุ่มนวล
“พี่เซียวเอี๋ยน หากนางยกเลิกการแต่งงานจริงๆ  นางจะต้องเสียใจ  ข้าเชื่อว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า นางจะต้องเสียใจกับการตัดสินใจในวันนี้”
“เสียใจ?” เซียวเอี๋ยนยิ้มเยาะ  “ด้วยความสามารถของข้าในขณะนี้  ข้าไม่มีคุณสมบัติอย่างนั้นหรอก”
เซียวเอี๋ยนหยุดครู่หนึ่งก่อนที่ซุ่มเสียงของเขาจะเปลี่ยนไป “เดี๋ยวก่อน เซวียนเอ๋อ  ทำไมเจ้าถึงรู้จักพวกเขา? สิ่งที่เจ้าเพิ่งพูด ท่านพ่อข้าอาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แล้วเจ้ารู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้ยังไง?”

เซวียนเอ๋อตัวแข็งทื่อ แต่ไม่กล่าวอะไร

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเซวียนเอ๋อที่เลี่ยงจะตอบคำถามนี้  เซียวเอี๋ยนจึงได้แต่ยิ้มอย่างอับจนหนทาง  แม้เซวียนเอ๋อจะเป็นคนในครอบครัว  แต่นางและเซียวเอี๋ยนก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด  กล่าวได้ว่า เซียวเอี๋ยนไม่เคยเห็นพ่อแม่ของเซวียนเอ๋อเลยด้วยซ้ำ และทุกครั้งที่เขาถามบิดา เซียวจั่นก็แค่ส่ายหน้าและไม่กล่าวกระไร  บิดามารดาของเซวียนเอ๋อกลายเป็นหัวข้อต้องห้าม  มีบางอย่างราวกับว่าพวกเขากลัวที่จะเอ่ยถึง

สำหรับเซียวเอี๋ยน  ตัวตนของเซวียนเอ๋อราวกับเรื่องลึกลับคลุมเครือ ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างหนักเพียงไร เซวียนเอ๋อก็ได้แต่นิ่งเงียบ

“เอ่อ ยังไงก็ตาม ถ้าเจ้าไม่อยากจะพูดถึงก็ไม่เป็นไร” เขาส่ายหัว  ใบหน้าก็กลับเคร่งขรึมลงอีกคราหนึ่ง 
แขกผู้เฒ่าท่านนั้น หลังจากที่เห็นสีหน้าของน่าหลันอวิ๋นหลันอีกคราหนึ่ง ในที่สุดก็ยืนขึ้น...
“เฮอะ  ใช้ฐานะของตระกูลอวิ๋นหลันมากดดันท่านพ่อ?  นางคนนี้ก็เป็นแต่ใช้เล่ห์เหลี่ยมน่ารังเกียจเท่านั้น...”  ความเดือดดาลเริ่มปะทุขึ้นในหัวใจของเซียวเอี๋ยนอีกคราหนึ่ง
 

ศึกรบทะลุแดนสวรรค์ บทที่ ๓ แขกผู้มาเยือน 

 
เด็กหนุ่มนอนครุ่นคิดอยู่บนเตียง มือทั้งสองข้างยื่นไปเบื้องหน้าบิดขี้เกียจอย่างผ่อนคลาย  ทรวงอกกระเพื่อมไปตามจังหวะหายใจด้วยความรู้สึกสงบสุข  ทุกอย่างก็แค่... เป็นไปตามธรรมชาติ  ทุกๆ ลมหายใจ กระแสอากาศสีขาวม้วนตัวเข้าไปในจมูกและปากของเด็กหนุ่ม อัดแน่นเข้าไปในร่างกาย และแปรสภาพ...
ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังสร้างสมาธิ  ปรากฏเงาขุ่นมัวแปลกๆ วาบขึ้นมาจากแหวนสีดำที่เขาสวมอยู่วูบหนึ่ง
“หืม...” เด็กหนุ่มค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกและตาจ้องมองแสงวูบวาบนั้น   แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้ากระทบนัยน์ตาของเขา นั่นคือเต๋าชี่ที่กำลังก่อตัวขึ้นแต่ยังกลั่นตัวไม่ทันเสร็จดี
“ข้าต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่ง  กว่าจะสร้างพลังเต๋าชีได้  แต่... ให้ตายเถอะ มันหายไปอีกแล้ว! ไม่นะ ไม่  ได้โปรด  อย่าเพิ่ง...”
เด็กหนุ่มพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะรักษาสภาพเต๋าชี่ที่กำลังจางหายไป แต่ก็ไร้ประโยชน์  แสงสีเงินวูบสุดท้ายของพลังเต๋าชี่หายไปจากตัวเขา  ใบหน้าของเด็กหนุ่มแปรเปลี่ยนจากความสงบสุขเป็นความโกรธเคือง และสิ้นหวัง เขาส่งเสียงดังขึ้นด้วยความโกรธ
เขากำมือแน่นครู่หนึ่ง แล้วจึงคลายมันออกอย่างรวดเร็ว  ท้ายที่สุด ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนจากความโกรธอย่างที่สุดมากัดฟันยิ้ม ที่สุดแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้อีก เขาลุกขึ้นจากเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน เหยียดขาคลายความเหน็บชา ด้วยความแข็งแกร่งเพียงแค่เต๋าชีระดับ ๓  มีแต่งานต่ำต้อยที่รออยู่เบื้องหน้า
หลังจากที่ออกกำลังกายอยู่ในห้องพักส่วนตัวที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายครู่หนึ่ง ที่หน้าประตู ปรากฏเสียงแหบๆ ของผู้รับใช้ดังขึ้น
“นายน้อย ท่านเจ้าบ้านสั่งให้ท่านไปพบที่เรือนรับแขก”
เด็กหนุ่มเป็นบุตรชายคนที่ ๓ ของผู้นำตระกูล เซียวเอี๋ยนยังมีพี่ชายอีก ๒ คน แต่ทั้งคู่ได้ออกจากบ้านไปเพื่อผจญภัยตั้งแต่หลายปีก่อน พวกเขาจะกลับมาเพียงปีละครั้งในช่วงปลายปีเพื่อพบปะกับครอบครัว พี่ชายของเขาทั้ง ๒ ดีกับน้องคนสุดท้องมาก ตั้งแต่ครั้งที่เขาเคยเป็นอัจฉริยะจวบจนกลายเป็นเศษขยะในทุกวันนี้
“มาแล้ว” เซียวเอี๋ยนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจึงออกไป ที่ด้านนอกห้อง มีชายชราคนหนึ่งในชุดคลุมยาวสีเขียวยืนรออยู่
“ไปกันเถอะ” ชายชรามองใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มและพยักหน้า แต่เมื่อเขาหันหลังออกเดิน ในแววตาของชายชรากลับปรากฏแววผิดหวัง  ถ้าเพียงแต่นายน้อยยังเก่งเหมือนเมื่อก่อนนี้ เขาจะต้องได้เป็นเต๋าจื่อที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง
ชายชราและเด็กหนุ่มเดินข้ามสวนหลังบ้านและในที่สุดก็มาถึงเรือนรับรองด้วยท่าทีเคร่งขรึม หลังจากเคาะประตูเบาๆ ด้วยความสุภาพ ทั้งสองจึงเดินเข้าไปด้านใน
เรือนรับรองนี้ค่อนข้างโอ่โถง แต่ภายในห้องโถง กลับคราคร่ำด้วยผู้คนจำนวนไม่น้อยแล้ว ที่ด้านในของเรือน เซียวจั่นยืนอยู่กับผู้เฒ่าท่าทางไร้อารมณ์อีก ๓ ท่าน พวกเขาเป็นผู้เฒ่าของตระกูลและยังเป็นผู้ดูแลกฎ อันเป็นตำแหน่งที่ไม่ด้อยไปกว่าผู้นำตระกูล
ที่ด้านซ้าย ถัดจากผู้เฒ่าทั้งสี่ ยังมีผู้เฒ่าท่านอื่นๆ ในตระกูล ผู้เฒ่ากลุ่มนี้ไม่ได้มีตำแหน่งสำคัญนักแต่ก็มีสิทธิมีเสียงและก็หัวดื้อไม่น้อย ถัดจากกลุ่มผู้เฒ่ากลุ่มนี้  ยังมีชายหนุ่มมากความสามารถกลุ่มหนึ่งที่ผ่านการปฏิญาณตนมาแล้ว
อีกด้านหนึ่ง ยืนอยู่ด้วยคนแปลกหน้า ๓ คน ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นแขกที่เซียวจั่นกล่าวถึงเมื่อคืนนี้
เด็กหนุ่มกวาดสายตาสำรวจคนแปลกหน้าทั้ง ๓ อย่างรวดเร็ว ในจำนวนแขกทั้ง ๓ นี้ มีชายชราผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยเสื้อสีนวล ใบหน้ายิ้มแย้ม แต่แววตาลุกลนสำรวจไปทั่วห้อง  เซียวเอี๋ยนกวาดตามองต่ำลงไปที่อกเสื้อของเขา แลเห็นมันปักไว้ด้วยรูปพระจันทร์เสี้ยว ล้อมด้วยดาว ๗ ดวง
เป็นต้าเต๋าซื่อขั้น ๗ ท่านหนึ่ง ชายผู้นี้เป็นต้าเต๋าซื่อขั้นที่ ๗ หรือ ไม่น่าเชื่อเลย เซียวเหยาเกือบห้ามใจไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างไปกับผู้เฒ่าท่านนี้
ผู้ที่ได้เลื่อนถึงระดับต้าเต๋าซื่อ อย่างน้อยจะต้องมีพลังระดับหนึ่ง ด้วยความแข็งแกร่งระดับนี้  ไม่ว่าที่ไหนก็ต้องการตัวไว้ทำงานด้วย  การที่ได้พบบุคคลที่มีพลังระดับนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เซียวเอี๋ยนจะสะดุ้ง
ที่ด้านข้างของผู้สูงวัย ยืนไว้ด้วยผู้เยาว์คู่หนึ่ง พวกเขาก็สวมชุดคลุมสีนวลเช่นกัน  ชายหนุ่นน่าจะอายุราว ๒๐ ปี ใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางแข็งแรง แน่นอนว่าเป็นชายในฝันของเด็กสาวแทบทุกคน และที่สำคัญที่สุด เหนืออกเสื้อของเขา มีดาว ๕ ดวงปักอยู่ นั่นหมายถึงว่า ชายหนุ่มผู้นี้อยู่ในระดับเต๋าเจ่อขั้น ๕
การได้อยู่ในระดับเต๋าเจ่อขั้น ๕ ด้วยวัยเพียง ๒๐ ปีนี้ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้นี้อย่างชัดเจน
ด้วยใบหน้าอันหล่อเหลาและพลังที่น่าสนใจ  ชายหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงจะเป็นผู้มีความสามารถในสายตาของเด็กสาวในตระกูล กระทั่งเซียวเม่ยก็ยังชำเลืองมองเขาเป็นพักๆ
แต่สายตาจากเด็กสาวทั้งหลาย หามีความหมายใดต่อชายหนุ่มผู้นี้ไม่ ความสนใจของเขาทั้งหมด พุ่งตรงไปยังเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างกาย...
เด็กสาวผู้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเซียวเอี๋ยนถึงกับทำให้เซียวเอี๋ยนตกตะลึง นางงามไม่น้อยไปกว่าเซียวเม่ย  ไม่ใช่สิ นางน่ารักกว่าเซียวเม่ยยิ่งนัก ทั่วทั้งตระกูลนี้ อาจมีเพียงเซียวเซวี่ยนเอ๋อเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งกับนางได้  ไม่น่าแปลกใจเลยที่หนุ่มๆ ในตระกูลเซียวถึงไล่ตามสาวๆ ตระกูลอื่น
ที่ใบหูอันตกแต่งอย่างประนีตของเด็กสาว สวมใส่ไว้ด้วยต่างหูสีหยกคู่หนึ่ง ยามเมื่อนางเคลื่อนไหว เสียงหยกกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊งราวท่วงทำนองดนตรี และเพิ่มนัยยะแห่งศักดิ์ของนาง...
อีกด้านหนึ่ง บนอกเสื้อของนาง ปรากฏดาวสีทอง ๓ ดวงปักอยู่
เป็นเต๋าเจ่อขั้น ๓ นางหนึ่ง ... เด็กสาวคนนี้ ... หากนางไม่ได้ใช้วิธีพิเศษอื่นใด นางย่อมต้องเด็กสาวที่เฉลียวฉลาดอย่างไม่น่าเชื่อ  หัวใจของเซียวเหยาหล่นวูบ นางมีพรสวรรค์ทัดเทียมกับที่เขาเคยเป็น  เซียวเหยาเบี่ยงสายตาจากเด็กสาวท่าทางเย็นชานางนี้   ไม่ว่าจะอย่างไร ภายใต้บุคลิกที่ยังไม่โตเต็มที่ของเซียวเหยา คือจิตวิญญาณที่มีวุฒิภาวะโดยสมบูรณ์ 
แม้นางจะงดงามยิ่งนัก แต่เขาก็เก็บอาการไว้  (ข้าไม่ยอมเสียฟอร์มทำท่าหมาป่าหื่นกระหายน้ำลายยืดหรอกนะเจ้าคนแปล)
ท่าทางของเซียวเอี๋ยนทำความแปลกใจให้แก่เด็กสาวมิใช่น้อย แม้นางจะไม่ใช่คนประเภทที่โลกทั้งใบหมุนรอบตัวเอง แต่ความงามและบุคลิกของนางก็ไม่เลวเลยทีเดียว กับเซียวเอี๋ยนที่เพียงแค่มองผ่านนางไป  จึงเป็นสิ่งใหม่สำหรับนางยิ่งนัก
“ท่านพ่อ ท่านผู้เฒ่าทั้ง ๓” เซียวเอี๋ยนสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว ค้อมคำนับเซียวจั่นและผู้เฒ่าทั้ง ๓
“ฮาๆ เอี๋ยนเอ๋อ เจ้ามาแล้ว! มานี่ นั่งลงก่อน”  เมื่อเห็นเซียวเอี๋ยนมาถึง เซียวจั่นหยุดการสนทนากับแขกและพยักหน้าไปทางเซียวเอี๋ยนพร้อมกวักมือเรียกให้เซียวเอี๋ยนเข้ามาหาที่นั่ง
เซียวเอี๋ยนยิ้มบางๆ เพิกเฉยต่อสายตาเฉื่อยชาและรังเกียจจากผู้เฒ่าทั้ง ๓ และเดินตรงไปที่เก้าอี้ของตน แต่ทว่า เขาต้องแปลกใจ เมื่อไม่พบเก้าอี้สำหรับเขา...
อา สถานภาพของข้าในตระกูลกำลังตกต่ำลง ตกต่ำลง มันเคยดีกว่านี้  แต่ว่าเดี๋ยวนี้ พวกเขาทำกระทั่งเพื่อให้ข้าขายหน้าต่อหน้าแขกเหรื่อ เจ้าแก่พวกนี้.... เซียวเหยาเยาะเย้ยตนเองเงียบๆ   ในใจเขา เขากำลังสั่นศีรษะไปมาราวกับว่ามันจะสามารถสะกดกลั้นอารมณ์ทั้งมวลที่กำลังประทุขึ้นมา
เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ของเซียวเอี๋ยน  บรรดาสมาชิกรุ่นเยาว์ในตระกูลต่างพากันหัวเราะแสดงความดีใจที่ได้เห็นเซียวเอี๋ยนถูกปฏิบัติราวกับเจ้าโง่
สุดท้าย เซียวเอี๋ยนจึงสังเกตเห็นท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเซียวเอี๋ยน  แววตาโกรธขึ้นฉายวาบออกมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นการเลิกคิ้ว เป็นเชิงถาม  “ผู้เฒ่าลำดับที่สอง ท่าน...”
“โอ... ขอโทษจริงๆ ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าจะลืมนายน้อยไปได้ เฮะๆ ข้าจะเรียกบ่าวไปเตรียมเก้าอี้มาให้!” ชายชราในชุดคลุมสีเหลืองยิ้มขณะที่จ้องมองเซียวจั่น  เขาเคาะกระหม่อมตนเองเป็นเชิงว่าขี้ลืม แต่สายตาของเขากลับปรากฏแววเหยียดหยาม
“พี่เซียวเอี๋ยน มานั่งที่นี่เถิดค่ะ!” เสียงสดใสของเด็กสาวนางหนึ่งดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งของเรือนรับรอง
ผู้เฒ่าทั้ง ๓ เคร่งเครียด พวกเขาเพ่งมองไปทางเซวียนเอ๋อที่มุมห้อง ปากของพวกเขาขมุกขมิบแต่ไม่ได้พูดอะไร
ที่มุมห้อง เซียวเซวี่ยนเอ๋อปิดหนังสือเล่มหนาบนตัก และกระพริบตามองเซียวเอี๋ยน
เมื่อเห็นใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มของเซียวเซวี่ยนเอ๋อ เซียวเอี๋ยนถึงกับชะงักงันไปชั่วครู่หนึ่ง  เขารวบรวมสติอย่างรวดเร็วและยกมือขึ้นป้ายจมูกไปมา สาวเท้าเดินตรงไปหาเซวียนเอ๋อภายใต้สายตาอิฉจาตาร้อนมากมายหลายคู่ที่จับจ้องมาจากสมาชิกในตระกูล  และหลังจากผ่านไปไม่กี่วินาทีที่เหมือนจะยาวนานเกินจริง ในที่สุดเขาก็นั่งจ่อมลงเบื้องหน้าเซวียนเอ๋อ
เซียวเอี๋ยนกระซิบ “ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยข้าไว้อีกครั้งหนึ่ง”
เซวียนเอ๋อส่งยิ้มสดใสจนแก้มบุ๋มเป็นรอยทั้งสองข้าง  นิ้วมือเรียวยาวของนางพลิกเปิดหน้าหนังสือที่อยู่เบื้องหน้า แม้ว่านางจะยังเยาว์วัยอย่างยิ่ง แต่รัศมีแห่งความเฉลียวฉลาดฉายชัดอยู่โดยรอบตัวนาง  หลังจากที่กวาดสายตาผ่านไปหลายหน้า จู่ๆ นางก็บ่นขึ้นมา “พี่เซียวเอี๋ยน  ท่านไม่ได้นั่งอยู่ข้างๆ ข้าอย่างนี้มา ๓ ปีเห็นจะได้แล้ว ใช่ไม๊คะ?”
“เอ่อ ... เจ้าเป็นคนเก่งของตระกูล มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายหรอกหรือ หากเจ้าต้องการมีเพื่อน?”  มองเห็นสีหน้าขุ่นเคืองใจของนาง เขาจึงหัวเราะ
“แต่เรื่องมีอยู่ว่า  ใครคนหนึ่งเคยแอบย่องเข้าไปในห้องนอนข้าทุกคืน ตั้งแต่ข้าอายุได้ ๔ ขวบ จนถึง ๖ ขวบ และใครคนนั้นก็ใช้วิธีเปิ่นๆ กับเต๋าจื่อชี่ที่ไม่ค่อยได้เรื่องคอยรักษาให้กระดูกข้าและจุดต่างๆ ของข้าแข็งแรง  ในทุกๆ ครั้ง ใครคนนั้นหลั่งเหงื่อเปียกซ่กก่อนจะจากไป พี่เซียวเอี๋ยน ท่านทราบหรือไม่ว่าเขาคือใคร?”  เซวียนเอ๋อชะงักลงชั่วครู่หนึ่งและทันใดนั้นก็เอียงศีรษะ พร้อมยิ้มกว้างมาทางเซียวเอี๋ยน
“เอ่อ ... ข้า ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า? ตอนนั้นข้ายังเด็กมาก ความจริงแล้ว ข้าแทบจะยังเดินไม่คล่องเลย แล้วข้าจะรู้ได้ยังไง?”  หัวใจของเซียวเอี๋ยนเริ่มเต้นแรง  เซียนเอี๋ยนฝืนยิ้มคราหนึ่ง เบือนหน้าหันไปมองกลางห้องโถงด้วยความรู้สึกผิด
“เฮะๆ ...” มองดูปฏิกิริยาของเซียวเอี๋ยน  รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าของเซวียนเอ๋อ นางหันกลับไปสนใจหนังสือบนตักและแสร้งทำเป็นพูดอยู่กับตัวเอง “กระนั้นก็ตาม ข้ารู้ว่าใครคนนั้นกระทำไปด้วยความปรารถนาดี ข้าเป็นเด็กผู้หญิงใช่หรือไม่ ข้าจะปล่อยให้ใครมาแตะตัวข้าง่ายๆ ได้อย่างไร? ถ้าข้ารู้ว่าเค้าคนนั้นคือใครล่ะก็, .. ฮืม...”
ปากของเซียวเอี๋ยนเริ่มกระตุกเฮือกหนึ่ง ตามองตรงแน่วไปเบื้องหน้า ปิดปากสนิท...

บทที่ ๒  ทวีปแห่งเต๋าชี่ 


พระจันทร์สีเงินกลมโตแลดาวกระจ่างพร่างพราวเต็มท้องฟ้า...
ณ ยอดผาสูงชัน เซียวเอี๋ยนนอนเหยียดยาวอยู่บนผืนหญ้า ในปากคาบหญ้าสีเขียวสด เขาขบเคี้ยวมันเล่นเบาๆ ปล่อยให้ความขมค่อยๆ กระจายเข้าไปในปากอย่างช้าๆ
เขายกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาเบื้องหน้า บดบังแสงจันทร์และปล่อยให้แสงเพียงบางส่วนเล็ดลอดออกมาจากช่องระหว่างนิ้ว  จ้องมองไปยังดวงจันทร์กลมโตสีเงินบนท้องฟ้า
“อา ...” หวนนึกถึงการทดสอบในช่วงบ่ายที่ผ่านมา เซียวเอี๋ยนขยับเบาๆ ค่อยๆ ดึงมือกลับมาหนุนศีรษะด้วยท่าทางเกียจคร้าน จิตใจเหม่อลอย
“๑๕ ปีแล้วสินะ เฮอะ?”  เสียงบ่นเบาๆ ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ในใจของเซียวเอี๋ยน มีความลับอย่างหนึ่งซ่อนอยู่ เขาไม่ใช่คนบนดาวดวงนี้  จิตวิญญาณของเขาก็ไม่ได้มาจากดาวดวงนี้ แท้จริงแล้ว เขามาจากดวงดาวสีน้ำเงินเข้มที่เรียกว่า “โลก” ไม่ทราบแน่ชัดว่าเรื่องราวเป็นเช่นใด ทำไมเขาถึงมาปรากฏตัวบนโลกใบนี้โดยปราศจากร่องรอยใดๆ  หลังจากใช้ชีวิตผ่านมาได้สักพักหนึ่ง เขาค่อยๆ ตะหนักว่า เขาคงเดินทางมาจากโลกคู่ขนานกัน!
เมื่อเขาเริ่มโตขึ้น เขาค่อยๆ ทำความเข้าใจกับดินแดนแห่งนี้ .. มากขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย
ดินแดนแห่งนี้เรียกกันว่าดินแดนแห่งเต๋าชี่  บนทวีปนี้  ผู้คนไม่ค่อยพูดกันถึงเวทย์มนตร์และความสามารถของนักเวทย์ แต่ทว่า เรื่องของพลังเต๋าชี่ กลับเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
บนผืนดินกว้างใหญ่แห่งนี้ การฝึกฝนพลังเต๋าชีเป็นเรื่องปกติธรรมดา  การฝึกฝนอย่างหนักหน่วงของแต่ละคน จากรุ่นสู่รุ่น การศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเต๋าจื่อเป็นที่แพร่หลาย ทั้งหมดเพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด เต๋าชี่กับมนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกัน และเป็นเช่นนั้นทุกๆ วัน ตลอดชั่วอายุ  เต๋าชี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในทวีปแห่งนี้  ไม่มีสิ่งใดจะมาแทนที่มันได้!
เมื่อระดับของเต๋าชี่สูงขึ้น หนทางที่จะก้าวขึ้นไปก็ยิ่งมากมายขึ้น บางคนก็ประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่นอย่างที่หวัง
หลังจากที่วิเคราะห์แล้ว หลักวิชาของพลังเต๋าชี่ในทวีปนี้แบ่งออกเป็น ๔ ลำดับชั้น เทียน (ฟ้า/สูงสุด)  -  ตี้ (ดิน) – ซวน (ดำ) - หวง (เหลือง/ต่ำสุด)
และทุกๆ ลำดับชั้น ยังแบ่งย่อยออกไปเป็นชั้นเริ่มต้น  ชั้นกลาง  และชั้นสูง!
หลักวิชาที่เรียนนี้ ยังเป็นตัวกำหนดวัดความแข็งแกร่งของผู้เรียนอีกด้วย  ยกตัวอย่างเช่น หากบุคคลผู้หนึ่งฝึกวิชาในระดับซวนชั้นกลาง คนผู้นั้นย่อมมีความแข่งแกร่งกว่าผู้ที่กำลังฝึกวิชาอยู่ในระดับหวงชั้นสูง โดยปริยาย
ในทวีปแห่งเต๋าชี่นี้  เพื่อที่จะแยกแยะผู้แข็งแกร่งออกจากผู้ที่อ่อนแอ  มีเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาหลักๆ ๓ อย่าง
อย่างแรกสุด และเป็นสิ่งสำคัญที่สุด นั่นคือความแข็งแรงโดยธรรมชาติของร่างกาย  หากใครมีระดับความแข็งแรงเทียบเท่ากับดาว ๑ ดวง แม้คนผู้นั้นจะได้ฝึกวิชาในระดับเทียนชั้นสูงสุด เขาก็อาจจะไม่สามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญที่ฝึกวิชาอยู่ในระดับหวงได้
เกณฑ์ต่อมา คือทักษะ หากคน ๒ คนอยู่ในระดับความแข็งแรงเท่ากันโดยกำเนิด ประลองฝีมือกัน ผู้ที่มีทักษะวิชาที่สูงกว่า ย่อมเป็นผู้กำชัยชนะอย่างไม่ต้องสงสัย
และเกณฑ์ข้อสุดท้ายคือ “เต๋าจี”
เต๋าจี คือทักษะพิเศษ ในการควบคุมพลังเต๋าชี่ และในทวีปแห่งเต๋าชี่นี้ เต๋าจีก็แบ่งออกเป็น ๔ ระดับเช่นกันคือ  เทียน ตี้ ซวน หวง
ในทวีปแห่งนี้ เต๋าชี่พัฒนาได้โดยตัวของมันเอง แต่เต๋าจีต่างออกไป  เกือบทุกคน มีพื้นฐานของเต๋าจีในระดับหวง แต่หากท่านต้องการที่จะพัฒนาทักษะมากขึ้น ท่านจำเป็นต้องเข้าร่วมพรรคใดพรรคหนึ่งหรือสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนที่สอนเต๋าชี่
แน่นอน ย่อมมีใครบางคน ได้รับโอกาสในการเรียนรู้ทักษะที่ก้าวล้ำหน้าผู้อื่น หรือผู้ที่มีเต๋าจีที่เหมาะสม คนเหล่านั้น อาจจะมีความสามารถในการต่อสู้สูงกว่าคนทั่วไป
ตามหลักเกณฑ์ทั้ง ๓ ข้อข้างต้นนี้ เราสามารถประเมินได้ว่าใครแข็งแกร่งกว่า และใครอ่อนแอกว่า  ทั้งหมดทั้งมวล หากท่านตัดสินใจเลือกเรียนเต๋าชี่ระดับสูง ประโยชน์ในภายภาคหน้าย่อมมีมากมายมหาศาล
อย่างไรก็ตาม วิชาเต๋าชี่ระดับสูงย่อมหาไม่ได้ทั่วไป ประดาวิชาที่มีอยู่ในท้องตลาด ล้วนเป็นวิชาพื้นๆ ธรรมดาในระดับหวง สำหรับพวกตระกูลใหญ่ๆ หรือพรรคเล็กๆ  ทักษะในระดับหวงถือเป็นเรื่องปกติสามัญ เช่นในตระกูลของเซียวเอี๋ยน พลังของผู้นำตระกูลก็อยู่ในระดับเพียงแค่ผู้ฝึกหัด – วิชาฝ่ามือราชสีห์ ซึ่งจัดเป็นวิชาในระดับซวนชั้นกลาง
เหนือระดับซวนขึ้นไป ย่อมเป็นระดับตี้ แต่วิชาระดับสูงเช่นนี้  มีปรากฏอยู่ในกลุ่มประเทศมหาอำนาจหรือองค์กรใหญ่ๆ เท่านั้น
และสำหรับระดับเทียน  ในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมา  ยังไม่เคยมีปรากฏให้เห็นเลย
ด้วยลำดับดังที่กล่าวมานี้  บุคคลธรรมดาผู้หนึ่งที่พยายามจะได้มาซึ่งวิชาในระดับสูง  ย่อมเปรียบดังเช่นคนที่พยายามจะปีนเขาโดยปราศจากอุปกรณ์ใดๆ  แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน ในโลกแห่งเต๋าชี่นี้  มีตระกูลต่างๆ เป็นพันตระกูล
ทางทิศเหนือ มีผู้คนกล่าวขานถึง “ผู้ไร้พ่าย” พวกเขาหลอมรวมจิตวิญญาณของตนเข้ากับสัตว์ป่าและกลายเป็นพวกป่าเถื่อน ส่วนทางทิศใต้ มีตระกูลในระดับพลังแห่งจิตวิญญาณที่เฉลียวฉลาดและมีความสามารถพิเศษ  และยังมีเหล่าผู้แข็งแกร่งและนิรนามในโลกมืดอีกมากมาย
ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลของทวีปนี้ มีบางคนไร้ชื่อเสียง แต่ได้รับปาฏิหาริย์ให้เก่งขึ้น หรือ อาจมีคนบางคนที่ถูกกำหนดโดยโชคชะตาให้ค้นพบวิชาที่แข็งเกร่ง  ดังนั้น ในดินแดนแห่งเต๋าชี่นี้ จึงมีคำพูดประโยคหนึ่งเป็นที่ลือชื่อ มันกล่าวไว้ว่า “หากเจ้าพบตัวเองล้มลง หรือถูกโลกทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง จงอย่าได้ตื่นตระหนก จงก้าวเดินไปข้างหน้าซัก ๒ ก้าว และบางที เจ้าจะพบว่าตัวเอง แข็งแกร่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นนัก”
แน่นอนว่าคำพูดนี้ไม่ได้ผิดอะไร ในประวัติศาสตร์นับพันปีที่ผ่านมา ณ ดินแดนแห่งนี้  มีนิทานไม่กี่เรื่องที่ผู้คนจะแข็งแกร่งขึ้นได้โดยความบังเอิญ
และด้วยเหตุนี้ ในแต่ละวัน จึงมีผู้คนนับไม่ถ้วนพยายามที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดและค้นหาทักษะหรือวิชาใหม่ๆ  แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือสะโพกหรือขาที่หัก
ทั้งหมดทั้งมวล ทวีปแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวประหลาดและสิ่งมหัศจรรย์มากมาย
เพื่อที่จะเข้าถึงความลับในศาสตร์แห่งเต๋าชี่ พื้นฐานต่ำสุดที่จำเป็นต้องมีคือต้องไต่เต้าให้ถึงระดับเต๋าเจ่อ  สำหรับเซียวเอี๋ยนในเวลานี้  มันช่างห่างไกลเกินจะเอื้อมถึง
พุฟ ... เซียวเอี๋ยนพ่นเศษหญ้าในปากออก และลุกยืนขึ้นอย่างว่องไวด้วยสีหน้าแค้นเคือง เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าและตะโกน “ปัดโธ่เว้ย! ทำไมถึงเล่นตลกกับข้าอย่างนี้?”
ในชีวิตแต่หนหลัง เซียวเอี๋ยนก็เป็นคนธรรมดา ความสามารถพื้นๆ  ความร่ำรวย ชื่อเสียง และสาวสวย ดูเหมือนจะเป็นเส้นคู่ขนานกับชีวิตของเขา ที่ไม่เคยมาบรรจบกัน  และ หลังจากที่เขาหลุดเข้ามาในโลกคู่ขนานใบนี้ เซียวเอี๋ยนอยู่ในสภาวะช๊อค และเพราะว่าได้ผ่านประสบการณ์แห่งการข้ามมิติพลังงานมา พลังแห่งจิตวิญญาณของเขาพุ่งสูงขึ้น แข็งแกร่งกว่าคนสามัญทั่วไป
ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า ในโลกแห่งเต๋าชี่นี้ จิตวิญญาณของคนๆ หนึ่ง ถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิด แม้ว่าเมื่อเราโตขึ้น พลังแห่งจิตวิญญาณของเราอาจจะแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่มีทักษะวิชาใดๆ จะสามารถพัฒนาพลังแห่งจิตวิญญาณของเราให้แข็งแกร่งขึ้นไปกว่านั้น

พลังแห่งจิตวิญญาณของเซียวเอี๋ยนนั่นเอง ที่ทำให้เขามีความสามารถพิเศษเฉกเช่นอัจฉริยะ
สำหรับคนทั่วไป หากมีคนมาบอกว่าเขาสามารถกลายเป็นอัจฉริยะได้ พวกเขาคงแคลงใจเพียงเล็กน้อยว่าพวกเขาจะได้รับชื่อเสียงและชีวิตที่มีคุณภาพ และสำหรับคนธรรมดาอย่างเซียวเอี๋ยน เมื่อเขาเริ่มฝึกเต๋าจื่อชี่  ความพยายามที่จะสร้างชื่อเสียง ย่อมเย้ายวนเกินห้ามใจ แน่นอนว่าเขาไม่เลือกที่จะหลบซ่อนอยู่ในเงามืด และพยายามฝึกฝนต่อไป
หากไม่ใช่ว่าเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ขึ้น เซียวเอี๋ยนอาจจะเติบโตขึ้นพร้อมกับความสำเร็จที่มากกว่าคำว่า”อัจฉริยะ”  แต่ชะตาชีวิตช่างโหดร้าย เมื่อตอนอายุได้ ๑๑ ปี  ชื่อเสียงของเขาถูกขโมยไปภายในเวลาชั่วข้ามคืน อัจฉริยะน้อยกลับกลายเป็นเพียงขยะชิ้นหนึ่ง

หลังจากยืนตะโกนจนสุดเสียงอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเซียวเอี๋ยนก็สงบลง สีหน้าของเขาฉายแววสงบลงอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะโกรธแค้นอีกซักกี่ครั้ง ความแข็งแกร่งของเขาก็มิอาจกลับคืนมาได้
ด้วยความขมขื่น  เซียวเอี๋ยนอับจนหนทาง เขาคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตน  ไม่มีส่วนใดรู้สึกผิดปกติ  พลังแห่งจิตวิญญาณของเขาเจริญเข้มแข็งขึ้นตามวัย ตามที่คาดหวัง ความสามารถในการพัฒนาพลังแห่งเต๋าจื่อชี่ก็รุดหน้าอย่างรวดเร็ว มันรวดเร็วยิ่งกว่านักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมานี้  ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ ล้วนบ่งบอกถึงอัจฉริยภาพในตัวเซียวเอี๋ยน แต่พลังเต๋าจื่อชี่ที่เขาได้ซึบซับมา ดูเหมือนจะอันตรทานหายไปอย่างไร้ร่องรอย  ความเชื่อมั่นในตนเองของเขาถูกสั่นครอน  เขาได้แต่รู้สึกตกต่ำลง

หลังจากที่สูดหายใจเข้าลึกๆ อีกหนึ่งรอบ  เซียนเอี๊ยนยกมือขึ้น  บนนิ้วมือปรากฏแหวนสีดำรูปทรงเรียบง่ายวงหนึ่ง  วัสดุที่ใช้สร้างมันไม่เป็นที่รู้จัก บนตัวเรือนมีสัญลักษณ์บางอย่าง  นี่คือของขวัญเพียงชิ้นเดียวที่แม่ของเขาให้ไว้ก่อนนางจะเสียชีวิต  เขาเริ่มสวมใส่มันตั้งแต่อายุได้ ๔ ขวบจวบจนกระทั่งบัดนี้ ๑๐ ปีผ่านไปแล้ว เขายังคงสวมใส่มันอยู่  มันเป็นของขวัญอันล้ำค่าจากแม่ของเขา และเซียวเอี๋ยนดูแลทนุถนอมมันเป็นอย่างดีทุกวัน  เขาแตะคลึงมันและพูดด้วยความขมขื่นใจ “หลายปีนี้ ข้าทำให้ท่านแม่ผิดหวัง เฮ่อ?”
เซียวเอี๋ยนถอนหายใจ  พลันลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและหมุนตัวกลับ พูดกับบุรุษในชุดสีดำที่เดินออกมาจากราวป่า
“ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงมา?”
แม้ว่าพลังเต๋าจื่อชี่ของเขาจะอยู่แค่ระดับสาม แต่พลังความตื่นรู้ของเขากลับไม่ด้อยไปกว่าระดับเต๋าเจ่อขั้นห้า หรืออาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ  ขณะที่อยู่ในห้วงคำนึงถึงท่านแม่ เขาพลันรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวจากราวป่า
“อา อา เอี๋ยนเอ๋อ ดึกมากแล้ว ทำไมเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่?”  จากหมู่ไม้สีขาว หลังผ่านความเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เสียงอ่อนโยนปรากฏขึ้น
[*** เอ๋อ ต่อท้ายชื่อในภาษาจีนใช้เรียกคนที่เด็กกว่าด้วยความเอ็นดู เช่น แปลว่าเด็กน้อย เจ้าตัวน้อย หนูน้อย เป็นต้น]
หมู่ไม้ไหวเบาๆ และชายวัยกลางคนผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น ใบหน้าเขายิ้มกว้าง สายตาของเขาจับจ้องมายังใบหน้าลูกชายที่สะท้อนอยู่ภายใต้แสงจันทร์
ชายวัยกลางคนแต่งกายภูมิฐานสวมเสื้อคลุมสีเทาราคาแพงชุดหนึ่ง ท่วงท่าสง่างามภาคภูมิ เขาคือผู้นำตระกูลเซียว และเป็นบิดาของเซียวเอี๋ยน เต๋าซื่อขั้นห้า – เซียวจั่น!
“ท่านพ่อ ทำไมท่านยังไม่เข้านอน?” ต่อหน้าชายวัยกลางคน เซียวเอี๋ยนยิ้มกว้างขึ้น แม้ว่าเขาจะมีความทรงจำของอีกโลกหนึ่งอยู่  เมื่อเขาเพิ่งเกิด บุรุษผู้อยู่ตรงหน้านี้ รักและเอาใจใส่เขาอย่างยิ่ง  เมื่อยามที่เขาสูญเสียพลังและกำลังใจ ความรักก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปแต่กลับเพิ่มพูนมากขึ้น สิ่งนี้ตราตรึงอยู่ในหัวใจของเซียวเอี๋ยนและทำให้เซียวเอี๋ยนยอมรับว่าเขาคือบิดาอย่างแท้จริง
“เอี๋ยนเอ๋อ เจ้ายังคงคิดมากกับเหตุการณ์เมื่อบ่ายวันนี้หรือ?” เซียวจั่นสาวเท้าเข้ามา ยิ้มให้อีกคราหนึ่ง
“ฮ่าๆ มีอะไรให้คิดหรือ? มันอยู่ในความคาดหมายของข้าอยู่แล้ว” เซียวเอี๋ยนส่ายหน้าและฝืนยิ้มคราหนึ่ง
“อา...” เซียวจั่นส่งเสียงครางคราหนึ่ง มองใบหน้าอันอ่อนโยนของเซียวเอี๋ยน  ทั้งคู่ต่างตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง  ก่อนที่เซียวจั่นจะเอ่ยขึ้น
“เอี๋ยนเอ๋อ เจ้าก็อายุเข้า ๑๕ ปีนี้แล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วท่านพ่อ”
“อีกแค่ปีเดียว ... เจ้าก็จะต้องเข้าสู่พิธีฉลองวัยผู้ใหญ่แล้ว...” เซียวจั่นกล่าว
“ใช่แล้ว ท่านพ่อ อีกแค่ปีเดียว” เซียวเอี๋ยนกำหมัดแน่นครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ  เขาเข้าใจดีว่าพิธีฉลองวัยหมายถึงอะไร เมื่อเขาไม่ใช่ผู้ฝึก เขาจะต้องถูกเกณฑ์ให้เป็นผู้ออกไปรวบรวมเคล็ดวิชาเต๋าชี่ และเพราะเขาอ่อนแอ เขาจะต้องถูกส่งออกไปทำงานในระดับต่ำให้แก่ตระกูล นี่เป็นกฏเกณฑ์ของตระกูลและแม้ว่าเขาจะเป็นบุตรชายของผู้นำตระกูล ก็ไม่มีข้อยกเว้น

หากใครไม่สามารถสอบผ่านถึงระดับเต๋าเจ่อได้ภายในอายุ ๒๕ ปี เขาผู้นั้นก็จะถูกทอดทิ้งจากตระกูล

“ข้าขอโทษ เอี๋ยนเอ๋อ หากเจ้าไม่สามารถสอบได้ถึงระดับเต๋าจื่อชี่ชั้น ๗ ได้ภายในปีหน้า ข้าคงไม่สามารถปกป้องเจ้าได้อีกต่อไป แม้ว่าข้าจะอยากทำมากเพียงไหน  ในการปกครองตระกูลนี้ ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้โดยลำพัง ยังมีพวกผู้เฒ่าที่คอยรอฉกฉวยโอกาสเมื่อข้าพลาด...” เมื่อมองเห็นท่าทีอันสงบเสงี่ยมของเซียวเอี๋ยน เขารู้สึกผิดต่อบุตรขายยิ่งนัก
“ท่านพ่อ ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ อีก ๑ ปีที่เหลือ ข้าจะสอบผ่านเต๋าจื่อชีขั้นที่ ๗ ให้ได้!” เซียวเอี๋ยนปลอบใจบิดาของเขา

“๔ ขั้นใน ๑ ปี? อา... ถ้าเป็นข้าแต่ก่อนนี้ มันอาจจะเป็นไปได้ แต่ ณ ตอนนี้... ข้าคงไม่มีโอกาสมากนัก...” เซียวเอี๋ยนครุ่นคิดในขณะที่พยายามปลอบใจบิดาของเขา  แม้ว่าตัวเขาเองจะรู้สึกข่มขื่นใจอยู่

ด้วยความที่เข้าใจสถานภาพของเซียวเอี๋ยนเป็นอย่างดี เซียวจั่นทำได้เพียงแค่พยักหน้า เขารู้ดีว่าการเลื่อนให้ได้เต๋าจื่อชีถึง ๔ ขั้นภายในระยะเวลาเพียง ๑ ปี เป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก เขาลูบศีรษะเซียวเอี๋ยนอย่างนุ่มนวลและยิ้ม กล่าวว่า
“ดึกมากแล้ว เจ้าควรจะกลับไปพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้เราจะมีแขกมาเยี่ยม  และเจ้าไม่ควรพลาดการต้อนรับ”

“ใครกัน?” เซียวเอี๋ยนถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“พรุ่งนี้เจ้าจะรู้เอง” เซียวจั่นขยิยตาให้กับเซียวเอี๋ยนที่กำลังกระวนกระวายใคร่รู้ และเดินจากไปด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม
“ท่านไม่ต้องห่วงนะ ท่านพ่อ ข้าจะพยายามให้เต็มที่” เซียวเอี๋ยนคลึงแหวนในมือขณะที่เงยหน้าขึ้นและกระซิบแผ่วเบา
ณ วินาทีที่เซียวเอี๋ยนเงยหน้าขึ้น แหวนสีดำในมือพลันส่งแสงสว่างวาบและกระพริบ เซียวเอี๋ยนตระหนักในทันใด นี่ไม่ใช่มนุษย์.....

ศึกรบทะลุแดนสวรรค์ บทที่ ๑ สูญเสียอัจฉริยภาพ 


ณ ดินแดนซึ่งไร้ปาฏิหารย์ ดินแดนซึ่งผู้แข็งแกร่งเท่านั้น คือผู้ตั้งกฎ ผู้อ่อนแอจะต้องจำนน  ดินแดนซึ่งเต็มไปด้วยสถานที่อันงดงามและทรัพย์สมบัติล้ำค่าดึงดูดใจ ทั้งยังเต็มไปด้วยอันตรายที่แฝงซ่อนอยู่
เมื่อ ๓ ปีก่อน เซียวเอี๋ยน เด็กหนุ่มผู้ฉายแววแห่งอัจฉริยะหาตัวจับยากในรอบหลายทศวรรษมานี้ ต้องสูญเสียทุกสิ่งไปอย่างกะทันหัน พลัง ชื่อเสียง และคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับมารดาของเขา เวทมนตร์ใดหนอ ที่สาปแช่งให้เขาต้องสูญเสียพลังวัตรในตัวทั้งหมดไป และเหตุใด คู่หมั้นของเขาจึงปรากฏกายขึ้นอย่างกะทันหัน.....

เบื้องหน้าเสาหินวิเศษแห่งการทดสอบเลื่อนขั้น ปรากฏคำพูดอันแสนเจ็บปวดขึ้นมา ๕ คำ เด็กหนุ่มยืนเผชิญหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไร้ความรู้สึก ริมฝีปากเม้มหยัน มือกำแน่น เจ็บปวดด้วยปลายเล็บอันแหลมคมที่จิกลึกลงไปในฝ่ามือ

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ยืนอยู่ข้างๆ เสาหินวิเศษแห่งการทดสอบเลื่อนขั้น เขามองตัวอักษรเบื้องหน้าที่ปรากฏ และประกาศด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่ง “เซียวเอี๋ยน - เต๋าจื่อลี่ – ระดับสาม – ระดับ:ต่ำ!”  

ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศ ผู้คนที่ชุมนุมอยู่โดยรอบจัตุรัสก็เริ่มส่งเสียงวุ่นวายเยาะหยันเด็กหนุ่ม
“ระดับสามหรือ? อืมมม อย่างที่คิด พ่อ”อัจฉริยะ” คนนี้ตกต่ำลงมาอีกระดับหนึ่งแล้ว”
“อา เจ้าขยะผู้นี้ ช่างนำความเสื่อมเสียให้กับวงศ์ตระกูลยิ่งนัก”
“ถ้าบิดาของมันไม่ใช่ผู้นำตระกูล ขยะแบบนี้คงจะโดนจับโยนออกจากตระกูลไปนานแล้ว ไม่มีใครเห็นใจมันหรอก และก็คงจะไม่มีคนที่ทำตัวเหมือนปลิงคอยเกาะครอบครัวแบบนี้”
“เป็นไปได้ยังไง อัจฉริยะชื่อดังแห่งเมืองวูตัน สอบตกแล้วสอบตกอีกในหลายปีที่ผ่านมานี้?”
“ใครจะรู้ล่ะ? เค้าอาจจะทำอะไรไม่ดีจนสวรรค์เบื้องบนลงโทษเอาก็ได้นะ”
เสียงหัวเราะเยาะเย้ย และคำพูดถากถางพุ่งตรงมายังเด็กหนุ่มจากทั่วทุกทิศ มันสะท้อนก้องไปมาในหูของเขา เช่นเดียวกับที่มันเสียดแทงเข้าไปในหัวใจ เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างหนักหน่วง
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น  เผยให้เห็นใบหน้าอันแบบบางและอ่อนเยาว์ นัยน์ตาคมดำขลับชำเลืองมองผ่านเหล่าเด็กหนุ่มสาวในวัยเดียวกันที่เยาะเย้ยเขา ริมฝีปากซึ่งเคยเม้มยิ้มหยันตนเองแปรเปลี่ยนเต็มไปด้วยความขมขื่น
“เจ้าพวกนี้นี่ ทำไมช่างเย็นชานัก? หรือเป็นเพราะเมื่อ ๓ ปีก่อน พวกมันส่งยิ้มให้ข้าด้วยความรู้สึกอันต้อยต่ำของตัวเอง มาบัดนี้จึงอยากจะเอาคืนบ้าง?” ด้วยรอยยิ้มอันขื่นขม เซียวเอี๋ยนหมุนตัวและเดินกลับไปที่กลุ่มคนดู ทีท่าหงอยเหงาของเขา ช่างไม่เข้ากันกับบรรยากาศที่กำลังอึกทึกอยู่โดยรอบเอาเสียเลย
“คนต่อไป เซียวเม่ย”
สิ้นเสียงผู้คุมสอบ ดรุณีน้อยนางหนึ่งพุ่งออกมาจากฝูงชนอย่างรวดเร็ว วินาทีที่นางพุ่งขึ้นไปถึงบนเวที เสียงพึมพำพูดคุยโดยรอบเงียบลง และสายตาทุกคู่จับจ้องไปยังใบหน้าของนาง
แม้ดรุณีนางนี้เพิ่งอายุไม่เกิน ๑๔ ปี แม้ความงามของนางจะไม่โดดเด่น  ทว่าใบหน้าเล็กๆ ราวเด็กไร้เดียงสาของนางก็ดึงดูดสายตาของผู้ชมยิ่งนัก
นางสาวเท้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและยืนมือเรียวเล็กออกไปแตะเสาหินสีดำแห่งการทดสอบ นางหลับตาลงด้วยใจอันสงบ เสี้ยววินาทีที่นางหลับตาลง เสาแห่งการทดสอบก็สว่างวาบขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“เต๋าจื่อลี่ ระดับ ๗!”
“เซียวเม่ย เต๋าจื่อลี่ ระดับเจ็ด ระดับ: สูง”
“เย้” ได้ยินเสียงผู้คุมสอบประกาศผล เด็กสาวยิ้มภาคภูมิใจ
“ระดับ ๗ เต๋าจื่อลี่ โอ ช่างน่าประทับใจ  ในอัตราก้าวหน้าเช่นนี้ ภายใน ๓ ปีข้างหน้า นางต้องได้เป็นเต๋าเจ่อเต็มตัวอย่างแน่นอน”
“นางสมกับเป็นเด็กรุ่นใหม่ของตระกูล”
เมื่อได้ยินเสียงชื่นชมดังมาจากฝูงชน เด็กสาวยิ้มกว้างขึ้น อา ความยโสโอหัง ความรู้สึกที่เด็กสาวมากมายยากจะทนทานได้
ขณะที่กำลังพูดคุยอยู่กับกลุ่มพี่น้องหญิง นางกวาดสายตามองไปโดยรอบและหยุดลงที่เด็กหนุ่มผู้แยกตัวออกไปอยู่ตามลำพัง
นางขมวดคิ้วชั่วครู่หนึ่ง และในที่สุดหักห้ามใจมิให้เดินเข้าไปหา ระหว่างนางและเด็กหนุ่มผู้นั้น ได้เกิดช่องว่างแห่งความห่างเหินมานานแล้ว พิจารณาผลงานในรอบหลายปีที่ผ่านมาของเซียวเอี๋ยน  เมื่อพิธีฉลองวัย (สู่ความเป็นผู้ใหญ่) มาถึง เขาจะเป็นได้แค่ชนชั้นระดับต่ำในตระกูล ส่วนนาง, ด้วยความสามารถของนาง, จะต้องได้เป็นชนชั้นสูงและจะต้องได้รับการฝึกให้เป็นนักยุทธ์อย่างแน่นอน อนาคตของนางจะต้องรุ่งโรจน์ไร้ข้อจำกัด
“อา..” ความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ปรากฏขึ้น  เซียวเม่ยย้อนระลึกถึงเด็กหนุ่มเมื่อ ๓ ปีก่อน ผู้เปี่ยมไปด้วยพลังและความภาคภูมิ เขาเริ่มฝึกฝนการต่อสู้ตั้งแต่อายุได้เพียง ๔ ปี ขึ้นสู่ระดับ ๙ ของเต๋าจื่อลี่เมื่ออายุ ๑๐ ปี และเมื่ออายุได้ ๑๑ ปี เขาทะลายกำแพงเต๋าจื่อลี่ระดับ ๑๐ และทะลวงขึ้นสู่เต๋าจื่อชี่จูได้สำเร็จ เขากลายเป็นเต๋าเจ่อที่อายุน้อยที่สุดในตระกูลในรอบร้อยปี
ในเวลานั้น ความมั่นใจในตัวเองอันเต็มเปี่ยมด้วยพลังของเขา เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจเด็กสาวในวัยดรุณนับไม่ถ้วน รวมทั้งเซียวเม่ย
อย่างไรก็ตาม ตำนานชีวิตของอัจฉริยะน้อยนั้นได้ผ่านพ้นไปกับสายลมแล้ว เมื่อ ๓ ปีก่อน หนุ่มน้อยอัจฉริยะผู้มีชื่อเสียงและอยู่บนจุดสูงสุด เหมือนดังถูกสาปแช่งด้วยสายลมแห่งโชคชะตาอันโหดร้าย สิ่งที่เขาทุ่มเทฝึกฝนและก้าวไปถึงระดับเต๋าเจ่อชี่จูภายในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมาได้สูญสลาย หายไปอย่างไร้ร่องรอย พลังวัตรเต๋าจื่อลี่ทั้งหมดในร่างกายของเขาค่อยๆ เสื่อมถอยลงไปและถูกแทนที่ด้วยความเวทนาที่เพิ่มพูนขึ้นโดยลำดับ
ผลของการสูญเสียพลังเต๋าจื่อลี่ ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ อ่อนแอลงไปด้วย
จากตำแหน่งอัจฉริยะน้อย เพียงชั่วข้ามคืน เขากลับตกต่ำลงยิ่งกว่าคนธรรมดา ปัญหาอันหนักหน่วงเช่นนี้ ยากที่เด็กหนุ่มผู้หนึ่งจะทนทานรับได้ เขาหมดความพยายามที่จะฝึกฝนยุทธ์ต่อไป ความยำเกรงที่เคยได้รับก็แปรเปลี่ยนเป็นความรังเกียจเดียดฉันท์
ยืนอยู่บนจุดที่สูงยิ่ง และก็ตกลงสู่ที่ต่ำ – ความรู้สึกเช่นนี้ ยากจะลุกขึ้นยืนหยัดได้ยิ่งนัก
“คนถัดไป เซียวเซวียนเอ๋อ”
ท่ามกลางเสียงพูดคุยอันสับสนวุ่นวาย เสียงผู้คุมสอบดังขึ้นอีกคราหนึ่ง
สิ้นเสียงประกาศชื่ออันน่าเลื่อมใส ผู้คนต่างเงียบเสียงลงโดยพลัน สายตาทุกคู่จับจ้อง
ท่ามกลางจุดที่ได้รับความสนใจ  เป็นดรุณีน้อยงดงามนางหนึ่ง แต่งกายในชุดสีม่วง ยืนโดดเด่นอยู่ ด้วยใบหน้าสงบเรียบ อ่อนโยน  บริสุทธิ์ ไม่มีที่ติ ไม่สะทกสะท้านต่อสายตาของฝูงชนที่จับจ้องมา
ความสงบและอารมณ์อันมั่นคงไม่ไหวหวั่นของนาง เปรียบดังดอกบัวที่กำลังเบ่งบาน  ด้วยวัยเพียงเท่านี้ นางมีภาพลักษณ์ดังสุภาพสตรีสูงศักดิ์ปรากฏชัดแจ้ง ยากที่จะจินตนาการยิ่งนักว่าเมื่อนางเจริญวัยขึ้น นางจะมีอิทธิพลต่อเมืองนี้สักเพียงใด
ดรุณีในชุดสีม่วงนางนี้ หากเปรียบเทียบความงามกับเซียวเม่ย นางก็เหนือกว่าหลายขุมนัก ไม่แปลกใจเลยกับปฏิกิริยาของผู้คนทั้งหลาย
ดรุณีน้อยเซียวเซวียนเอ๋อค่อยๆ ก้าวขึ้นไปยืนเบื้องหน้าเสาแห่งการทดสอบอย่างนุ่มนวลอ่อนช้อย นางยื่นมืออันเรียวเล็กออกมา ปลายแขนเสื้อสีม่วงสลับลวดลายสีดำและเส้นไหมสีทองที่ร่นเข้าและทิ้งชายลง เผยให้เห็นข้อมือขาวผ่องราวหิมะ นางแตะเสาแห่งการทดสอบอย่างเบามือ
ท่ามกลางความเงียบสงัด เสาแห่งการทดสอบเรืองแสงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“เต๋าจื่อลี่ ระดับ ๙ ระดับ-สูง”
คำจารึกที่ปรากฏบนเสาหินทำให้ทั่วทั้งจัตุรัสต่างเงียบงันนิ่งสนิท
“... นาง ก้าวถึงระดับ ๙ แล้วจริงๆ ช่างน่าตกใจยิ่งนัก ตำแหน่งผู้เยาว์ระดับสูงที่อายุน้อยที่สุดคงถูกแทนที่โดยนางอย่างไม่ต้องสงสัย เซียวเซวียนเอ๋อ” หลังความเงียบผ่านพ้นไป วัยรุ่นคะนองหลายคนอดไม่ได้ ต่างก็ผิวปากโห่ร้อง สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชมและเกรงขาม
พลังเต๋าจื่อลี่เป็นลำดับสำคัญก่อนจะก้าวไปสู่พลังในระดับเต๋าเจ่อ เต๋าจื่อลี่แบ่งเป็น ๑๐ ระดับ เมื่อร่างกายก้าวไปถึงระดับ ๑๐ ของเต๋าจื่อลี่ มันสามารถควบคุมเต๋าเจ่อชีจูและเลื่อนขึ้นสู่ระดับขั้นเต๋าเจ่อได้
ท่ามกลางฝูงชนในขณะนั้น เซียวเม่ยจ้องมองดรุณีในชุดสีม่วงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเสาแห่งการทดสอบด้วยความอิจฉาส่วนหนึ่ง
ผู้คุมสอบผู้มีใบหน้ายิ้มแย้มเป็นปกติมองไปยังผลลัพท์บนเสาแห่งการทดสอบ เขาหันหน้าไปหานางและแสดงความยินดี
“แม่นางเซวียนเอ๋อ อีกครึ่งปีจากนี้ไป เจ้าจะสามารถควบรวมพลังเต๋าชี่เจ่อจู ถ้าเจ้าทำได้สำเร็จ เจ้าจะกลายเป็นเต๋าเจ่อได้ด้วยวัยเพียง ๑๔ ปีเป็นคนที่ ๒ ในตระกูลเซียว
แน่นอน เป็นคนที่ ๒ คนแรกย่อมเป็นอัจฉริยะตกกระป๋อง – เซียวเอี๋ยน
“ขอบคุณ” เด็กสาวพยักหน้าอ่อนหวาน ใบหน้าเรียบเฉยของนางปรากฏร่องรอยดีใจเล็กน้อยเพราะการชมเชยจากเขา  นางหันหลังกลับเงียบๆ และในท่ามกลางสายตาที่แสดงความสนใจ นางค่อยๆ เดินตรงไปยังเด็กหนุ่มที่ถูกข่มอยู่ด้านหลังกลุ่ม
“พี่เซียวเอี๋ยน” นางเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กหนุ่ม มองหน้าเขาและโค้งคำนับด้วยความเคารพ ความงามของนาง ใบหน้าที่สุภาพนุ่มนวลของนาง ปรากฏรอยยิ้มงดงามซึ่งสามารถทำให้เด็กสาวทุกคนโดยรอบอิจฉา
“ข้ามีคุณสมบัติอะไรที่จะให้เจ้าเรียกข้าเช่นนี้ได้?” เขามองหน้าเด็กสาวที่เปรียบดังไข่มุกล้ำค่าของตระกูล นางรู้สึกเศร้าใจยิ่งนักในชั่ววูบหนึ่ง .. ยังคงพูดต่อไปด้วยท่าทีอ่อนน้อม
“พี่เซียวเอี๋ยน ท่านเคยบอกกับเซวียนเอ๋อก่อนหน้านี้ – ก่อนจะหยิบอะไร มือเราต้องว่างก่อน บุคคลจะเป็นอิสระได้ เมื่อเขาสามารถวางทุกสิ่งลงได้ – “ เซียวเซวียนเอ๋อพูดอย่างสุภาพ รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความอบอุ่น 
“ฮ่าๆ ว่างจริงๆ? ข้าแค่รู้จักพูด มองดูข้าตอนนี้สิ ข้าดูเหมือนอิสรชนหรือไม่? คำพูดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าเป็นในตอนนี้” เซียวเอี๋ยนหัวเราะกับตัวเอง พูดอย่างท้อแท้ 
ต่อหน้าอารมณ์อันหดหู่ของเซียวเอี๋ยน เซียวเซวียนเอ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย และนางเริ่มพูดอย่างจริงจังว่า
“พี่เซียวเอี๋ยน แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ท่าน เซวียนเอ๋อก็เชื่อมั่นว่าท่านจะลุกขึ้นยืนหยัดได้อีกครั้งหนึ่งและเอาสิ่งที่ท่านสูญเสียไปกลับคืนมาได้ ทั้งความภาคภูมิใจ ความเคารพ ...” นางหยุดไปชั่วขณะ ใบหน้าขาวอ่อนโยนแดงเรื่อขึ้น
“แต่ก่อนนี้ มีคนมากมายที่สนใจท่าน...”
“ฮ่าๆๆ ...” ได้ฟังความในใจจากดรุณีน้อย เขาหัวเราะเก้อเขินแต่ไม่พูดสิ่งใดอีก หากเป็นคนอื่น คงจะต้องหวั่นไหวไปกับคำพูดนั้น แต่เขาไม่มีคุณสมบัติพอ และไม่อยู่ในอารมณ์เช่นนั้น เขาค่อยๆ หันหลังและเดินออกไปจากจัตุรัสเมืองอย่างเงียบๆ
นางยังคงยืนลังเลมองแผ่นหลังที่อ้างว้างของเด็กหนุ่มอยู่ชั่วครู่หนึ่ง (ย้อนระลึกถึงเมื่อครั้งยังเด็ก แผ่นหลังของพี่เซียวเอี๋ยน คือแผ่นหลังที่คอยปกป้องนางจากภยันตรายทั้งปวงอยู่เสมอ) ก่อนจะสาวเท้าวิ่งไล่ตามหลังเขาและหยุดเดินเคียงข้างไปด้วยกัน ทีละก้าว ทีละก้าว ในขณะเดียวกัน ที่เบื้องหลัง เสียงหมาป่าขี้อิจฉาครางไล่หลัง ...